วันนี้ผู้นำสองมหาอำนาจโลก จีน สหรัฐฯ เหมือนคนที่ตกอยู่ในภาวะ บ้าก็บ้าวะ สองฝ่าย ประกาศสงครามการค้ารอบใหม่วันศุกร์ ทำให้เกิดภาวะ Inverted yield curve ผลตอบแทนพลิกกลับ ในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี ขยับขึ้นไปที่ 1.511% สูงกว่าพันธบัตร 10 ปีที่มีผลตอบแทนเพียง 1.508% เมื่อวันศุกร์ ซึ่งเป็น สัญญาณที่บ่งบอกถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย อีกครั้ง

ภาวะ Inverted yield curve เมื่อวันศุกร์ เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 2 สัปดาห์ ผลจาก สงครามการค้าจีนสหรัฐฯที่บานปลาย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม The Chinese State Council สภาแห่งรัฐจีน ได้ประกาศ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเพิ่มอีก 5,078 รายการ มูลค่า 75,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้การขึ้นภาษีของสหรัฐฯครั้งล่าสุด โดยแบ่งการขึ้นภาษีเป็นสองช่วงคือ ขึ้น 5% ในวันที่ 1 กันยายนนี้ และ ขึ้นอีก 15% ในวันที่ 15 ธันวาคม สินค้าที่จีนขึ้นภาษีครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิปโทรศัพท์มือถือ (ทำให้หุ้นแอปเปิลร่วงไป 4.6%) เครื่องจักร อากาศยาน เครื่องมือแพทย์ รถยนต์ (จีนขึ้นภาษีอีก 25%) ไปจนถึง สินค้าเกษตร ที่กระทบต่อเกษตรกรสหรัฐฯ

อีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ก็ออกมาประกาศขึ้นภาษีตอบโต้จีนทันที ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ ประกาศ ขึ้นภาษีสินค้าจีน 300,000 ล้านดอลลาร์ฯ ในวันที่ 1 กันยายน แต่เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 15 ธันวาคม เพราะส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันเอง

ทรัมป์ ประกาศว่า เขาอาจนำการขึ้นภาษีสินค้าจีนจาก 10% เป็น 15% มูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์ฯ กลับมาบังคับใช้ในวันที่ 1 กันยายนนี้ทันที หลังจากที่เลื่อนไปเป็นวันที่ 15 ธันวาคม เพื่อประนีประนอม และจะขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์ฯ จากเดิมที่ขึ้นไปเป็น 25% เพิ่มเป็น 30% ในวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งตรงกับ วันชาติจีน พร้อมกับเรียกร้องให้ บริษัทอเมริกันในจีนทุกแห่งย้ายฐานผลิตจากจีนกลับไปยังสหรัฐฯ และทวีตด่าจีนว่าได้ปล้นทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ คิดเป็นเงินหลายแสนล้านดอลลาร์

...

ศึกการค้าจีนสหรัฐฯ ครั้งนี้ต้องถือว่า ใหญ่หลวงนัก ส่งผลกระทบไปทั่วโลก กระทบทุกบริษัท ทุกประเทศ ทุกคน รวมทั้ง ประเทศไทย ด้วย เช่น สินค้าเหล็ก ที่ผมได้เขียนไปแล้ว เมื่อจีนส่งไปขายสหรัฐฯไม่ได้ ก็ส่งไปทุ่มตลาดทั่วโลกรวมทั้งไทย จีนขายเหล็กทุกชนิดถูกกว่าต้นทุน ทำให้โรงงานเหล็กไทยต้องลดการผลิตเหลือ 30% ถ้าโรงงานเหล็กไทยเจ๊งหมด ก็จะเดือดร้อนกันเป็นลูกโซ่ทั้งระบบแน่นอน

เมื่อการค้าโลกเป็นแบบนี้ สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้น ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยครั้งใหญ่ อย่างที่นักวิเคราะห์ทำนาย เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจาก ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้บ้าคลั่งเพียงคนเดียว ถ้าชาวอเมริกันหยุดยั้งนายทรัมป์ไม่ได้ ชาวอเมริกันก็คงประสบความหายนะมากที่สุด เดือดร้อนมากที่สุด อย่างช่วยไม่ได้

การประชุมประจำปีของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่แคนซัส ซิตี้ เมื่อวันสุดสัปดาห์ก็มีการระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจช็อกโลกที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากภาวะช็อกทางการเมืองที่เกิดขึ้น เช่น สหรัฐฯ เบร็กซิต ฮ่องกง อิตาลี

ภาวะช็อกเหล่านี้ ธนาคารกลางก็ไม่สามารถช่วยได้ เป็นอันหมดหวังที่จะ “พึ่งธนาคารกลาง” อย่างที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ พยายามพึ่ง ธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ ลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ไม่เป็นผล

เมืองไทยก็คงเหมือนกัน การลดดอกเบี้ยในเวลานี้อาจไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก เพราะปัญหามันหนักเกินกว่าการลดดอกเบี้ยแล้ว ดังนั้น “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ผมคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด “เศรษฐกิจพอเพียง” ของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ สุดยอดทฤษฎีเศรษฐกิจของโลก น่าเสียดายที่ นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดถึง เศรษฐกิจพอเพียง มากว่า 5 ปี แต่กลับไม่นำมาใช้บริหารประเทศอย่างจริงใจเสียที.

“ลม เปลี่ยนทิศ”