ได้มาแล้วอย่าให้เสียของ...

วันนี้ว่ากันเรื่องในประเทศดีกว่า เพราะได้นายกฯคนใหม่แต่หน้าเก่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยคะแนน 500 เสียงต่อ 244 เสียง

เป็นเรื่องของมติในสภาอยู่ในกฎกติกา ทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัวในฝ่ายรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ

โชคดีเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ได้นายชวน หลีกภัย เป็นประธานรัฐสภา ทำให้บรรยากาศการประชุมอยู่ในร่องในรอยภาพลักษณ์เลยดีขึ้น

มีอยู่ติ่งหนึ่งกรณีที่นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย ที่เปล่งเสียงลงคะแนนด้วยคำว่า “งดออกเสียง”

ขัดมติพรรคอ้างว่ารับปากชาวบ้านมาแล้วและต้องการที่จะเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค เป็นนายกฯเพียงคนเดียว

ผิดกับประชาธิปัตย์ที่ปฏิบัติตามมติพรรคลงคะแนนให้ทุกคน

ทั้งๆที่ก่อนหน้าตัดสินใจร่วมรัฐบาลเกิดปัญหาขัดแย้งภายใน ด้วยเห็นต่างกันจนพรรคแทบแตกแต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็เป็นไปตามนั้น

ขนาดว่าต้องเสีย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เลือดสีฟ้าเข้มข้นไป

ว่าไปแล้วการอภิปรายในวันโหวตเลือกนายกฯฝ่ายตรงข้ามที่สนับสนุน “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

เป้าโจมตีอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์กับผลงานในการบริหารประเทศมา 5 ปี อันเป็นภาพสะท้อนที่รับรู้กันอยู่

นั่นเป็นเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเก็บซับเอาไว้เป็นบทเรียน

เพราะจากนี้ไปการบริหารอยู่ภายใต้ระบบรัฐสภาต่างกับรัฐบาล คสช.โดยสิ้นเชิง ไม่มี ม.44 เป็นกลไกอำนาจ

ต้องทำงานร่วมกันกับนักการเมือง จึงต้องปรับระบบคิด วิธีการทำงาน เข้าใจโลกแห่งความเป็นจริง สร้างเอกภาพในรัฐบาล รับฟังความเห็นให้มากขึ้น และความเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับ

เน้นย้ำตั้งแต่เริ่มทำงานคือ “ซื่อสัตย์สุจริต”

...

นับแต่นี้ไปนายกฯจะมีอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาล การจัดโควตาพรรค จัดรัฐมนตรีเพื่อเข้าบริหารประเทศอย่างเต็มตัว
ครับ...กระบวนการตรงนี้คือความยุ่งยากไม่ใช่น้อย

ก็อย่างที่ผ่านมาในการจัดเจรจาแบ่งโควตากระทรวงคงได้เห็นมาแล้วว่ามีปัญหา มีการต่อรองจนแทบจะตั้งรัฐบาลไม่ได้

ในฐานะนายกฯที่มีอำนาจ จึงต้องร่วมเจรจาอธิบายความ กรอบนโยบายร่วม และการทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง

อย่าคิดว่าเป็นรัฐบาลแล้วจะทำอะไรอย่างไรได้

นี่เป็นเพียงชัยชนะเบื้องต้นเท่านั้น เพราะอุปสรรคขวากหนามยังมีอีกแยะ อย่างน้อยเสียงปริ่มน้ำ...นี่ก็อันตรายทุกฝีก้าว

อย่าปรามาสพรรคฝ่ายค้านก็แล้วกัน

เพราะความขัดแย้งยังดำรงอยู่ ไม่ใช่การเมืองปกติที่ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างก็ทำไปตามหน้าที่ในระบบรัฐสภา

แต่ความเป็นจริงยังมีความคิดที่จะโค่นล้ม เอาชนะคะคานกันอยู่

จึงต้องสร้างกรอบการทำงานเป็นช่วงๆ เพื่อให้ได้ผลงานที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างการยอมรับ เกิดความเชื่อมั่น เป็นทางออกทางเดียวเท่านั้น...

“ยุบสภา-ปฏิวัติ”...เลิกคิดได้เลย?

“สายล่อฟ้า”