เป็นไปตามคาดครับ ว่าจีนจะต้องตอบโต้อย่างแน่นอน หลังจากที่สหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 200,000 ล้านเหรียญ จาก 10 เปอร์เซ็นต์ เป็น 25 เปอร์เซ็นต์ ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
และแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคมนั่นเอง กระทรวงการคลังจีนก็ออกแถลงการณ์ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ตั้งแต่ 5 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึง 25 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งสิ้น 5,140 รายการ คิดเป็นมูลค่า 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป
ในจำนวนสินค้า 5,140 รายการที่ว่า จะมีพวกเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู และสินค้าเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำมันพืช ชา และกาแฟ รวมอยู่ด้วย
ก่อนหน้านี้คุณทรัมป์เขียนคำเตือนผ่านทวิตเตอร์ว่า “จีนได้เปรียบสหรัฐฯมาหลายปีแล้ว (เพราะประธานาธิบดีของเราไม่ได้ทำหน้าที่) เพราะฉะนั้นอย่าตอบโต้เด็ดขาด ไม่งั้นสถานการณ์ของคุณจะหนักกว่านี้”
ที่ไหนได้ หลังจากทรัมป์ทวีตไปไม่ถึง 2 ชั่วโมง กระทรวงการคลังจีนก็ออกแถลงการณ์ขึ้นภาษีสินค้ามูลค่า 60,000 ล้านเหรียญ สำหรับสินค้าจากสหรัฐอเมริกา ภายในวันที่ 1 มิถุนายนอย่างที่ว่า
จะทำให้สถานการณ์ของจีนหนักหนาสาหัสอย่างที่ทรัมป์ขู่ไว้หรือไม่ คงต้องติดตามยกต่อไป โปรดอย่ากะพริบตา
แต่ที่แน่ๆ หุ้นสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์ร่วงระเนนระนาดไปเรียบร้อย ดาวโจนส์ลบ 617 จุด แนสแด็กลบ 270 จุด ถือว่าหนักหนาสาหัสไม่ใช่เล่น ส่วนวันต่อมารวมทั้งวันนี้ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร คงต้องรอดูผลอีกสักพัก
ทรัมป์บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯจะยังไม่หยุดอยู่แค่สินค้า 200,000 ล้านเหรียญ ที่ลงมือจัดการไปแล้วเมื่อวันศุกร์ แต่ได้สั่งการให้เตรียมการไว้สำหรับสินค้ามูลค่า 300,000 ล้านเหรียญที่ยังเหลืออยู่อีกด้วย
...
เมื่อปี 2018 ทั้งปีที่ผ่านมา สหรัฐฯขาดดุลการค้ากับจีนบานเบอะ เพราะซื้อจากจีนทั้งหมด 539,000 ล้านเหรียญ แต่ขายให้จีนได้เพียง 120,000 ล้านเหรียญ ขาดดุลถึง 419,000 ล้านเหรียญ
มองจากมุมของทรัมป์ก็น่าเห็นใจเขาพอสมควร เพราะด้วยตัวเลขขาดดุลถึงขนาดนี้ ไม่ว่าใครก็อดวิตกไม่ได้
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศเบื้องต้นสอนไว้ว่า การค้าต่างประเทศก็เหมือน Two-way street หรือถนนที่แล่นสวนทางกันทั้ง 2 ประเทศจะต้องช่วยกันซื้อด้วย จะเอาแต่ขายฝ่ายเดียวมิได้ เพราะถ้าเราขาย
ฝ่ายเดียว วันหนึ่งคู่ค้าของเราก็จะล้มละลายไม่มีเงินมาซื้อเรา
สหรัฐฯขาดดุลจีนสะสมมานานแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง รัฐบาลจีนแม้จะรับปากว่าจะซื้อมากขึ้น แต่รัฐบาลจีนก็มีจุดอ่อนตรงที่ไม่สามารถควบคุมภาคเอกชนจีนได้ทั้งหมด
ภาคเอกชนจีนก็อย่างที่เรารู้เต็มไปด้วย “ร้อยพยัคฆ์ พันมังกร” เวลาไปค้าขายกับใครที่ไหนก็จะลุย จะฟันเอาเปรียบเขาไปหมด
บ้านเราเองก็เจ็บปวดไม่น้อย ทั้งภาคเกษตร ภาคท่องเที่ยว อย่างที่รู้ๆ
ในการค้าขายกับสหรัฐฯจึงเป็นไปได้ที่พ่อค้าเอกชนจีนคงจะลุยเอาเปรียบอยู่ตลอด ทำให้ยอดขาดดุลไม่ลดลง และจีนก็ไม่ได้ซื้ออะไรมากขึ้น แม้รัฐบาลจีนจะบอกรัฐบาลสหรัฐฯว่าจะซื้อมากขึ้นก็ตาม
มองจากมุมของคุณทรัมป์ซึ่งเป็นพ่อค้าเก่า คงจะรู้ตื้นลึกหนาบางในเรื่องเช่นนี้ จึงลุกขึ้นมาจัดการด้วยการประกาศสงครามการค้าอย่างเปิดเผย
แต่เผอิญท่านเป็นคนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ เวลาทวีตก็มักจะใช้คำแรงๆ จนดูเหมือนกับว่ามีความรู้สึกไม่ค่อยดีกับจีนแฝงอยู่ด้วย ในทำนองว่าอิจฉาจีนหรืออะไรอย่างนั้น ดังนั้นในสายตาชาวโลก จึงมองว่าคุณทรัมป์เป็นตัวก่อปัญหา และเปรียบเสมือนผู้ร้ายในกรณีนี้
ผมเองมองว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีจุดน่าตำหนิพอกัน คุณทรัมป์ก็แรงไป ทางฝ่ายจีนนั้นรัฐบาลโอเควางตัวดี น่านับถือ แต่ผมเชื่อว่าสั่งภาคเอกชนไม่ได้ การแก้ปัญหาต่างๆจึงยืดเยื้อ
ลงท้ายจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามต่อไป
ใครจะแพ้ใครจะชนะยังไม่รู้...แต่โลกทั้งโลกได้รับผลกระทบแน่นอน รวมทั้งไทยแลนด์เรา
ฝากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ (จะเป็นใครยังไม่รู้เลย เพราะข่าวสับสนเหลือเกิน) ไว้ด้วยนะครับ.
“ซูม”