นายกฯไทย-จีน ผนึกความร่วมมือหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน หวังสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมเชิญนายกฯ จีนเยือนไทย ตั้งเป้าร่วมผลักดันมูลค่าการค้าตามเป้า 1.4 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 64 ให้สำเร็จ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับภารกิจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะ ในการเข้าร่วมการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation - BRF) ครั้งที่ 2 ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 26-27 เม.ย.เมื่อเวลา 15.55 น.วันที่ 26 เม.ย. (ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงปักกิ่ง) ที่เรือนรับรองรัฐบาลเตี้ยวหยูไถ กรุงปักกิ่ง หลังนายกฯ ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน ที่ นายหาน เจิ้ง รองนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน คนที่ 1 เป็นเจ้าภาพเลี้ยง เพื่อเป็นเกียรติและหารือกันแบบสั้นๆ จากนั้นนายกฯ และคณะ ได้พบหารือกับ นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยภายหลังการหารือ พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญว่า โดยนายกฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลจีน สำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นในการเยือนจีนครั้งนี้ และยินดีที่ได้เข้าร่วมการประชุมเวทีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของจีนและประเทศผู้เข้าร่วมอื่นๆ ในการสนับสนุนข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของไทย ที่ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงในภูมิภาค ไทยพร้อมเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างจีน ประเทศกลุ่ม ACMECS และอาเซียน

นายกฯ หวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมกันส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดิจิทัล เทคโนโลยีและนวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานระหว่างกัน ในโอกาสนี้นายกฯ กล่าวชื่นชมวิสัยทัศน์ของผู้นำจีน ที่พัฒนาและปฏิรูปประเทศจนมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนชาวจีน ไทยหวังว่าจะได้ร่วมมือกับจีนเพื่อเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันต่อไป

...

ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยผู้นำไทยและจีนต่างยินดีที่ทั้งสองประเทศ มีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการสร้างความร่วมมือที่ใกล้ชิด และผลักดันความร่วมมือเชิงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่รอบด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงให้มีผลเป็นรูปธรรม พร้อมกล่าวเชิญ นายหลี่ เค่อเฉียง เยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในห้วงการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit) ครั้งที่ 14 ที่ประเทศไทยด้วย

สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจทั้งสองฝ่ายต่างมองว่า ไทยและจีนยังมีศักยภาพในการพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจได้อีกมาก เพื่อบรรลุเป้าหมายการค้าทวิภาคีที่ตั้งไว้ที่ 140,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 และไทยยินดีอย่างยิ่งที่มีส่วนสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้านำเข้านานาชาติ (China International Import Expo) ครั้งที่ 1 และไทยพร้อมเข้าร่วมงานดังกล่าวในปีต่อไป โอกาสนี้นายกฯ ยังเชิญชวนผู้ประกอบการของจีนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Made in China 2025 ของจีนด้วย อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ หุ่นยนต์ การซ่อมบำรุงอากาศยาน ระบบราง เป็นต้น ในส่วนของความร่วมมือโครงการรถไฟไทย-จีน นายกฯ ยินดีที่มีการลงนามบันทึกความร่วมมือเส้นทางเชื่อมต่อทางรถไฟ ระหว่างหนองคายและเวียงจันทน์ พร้อมเน้นย้ำว่าไทยได้เร่งรัดให้โครงการรถไฟไทย-จีน ให้คืบหน้าตามกำหนด จึงขอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดต่อไป

ส่วนเรื่องความร่วมมือ 3 ฝ่าย (ไทย-จีน-ญี่ปุ่น) ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า การพัฒนาโครงการ EEC จะเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและภูมิภาค รวมทั้งเป็นประตูเชื่อมโยงจีนผ่านเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า และเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียงต่อไป นายกรัฐมนตรีเชิญชวนจีนให้นำคณะเข้ามาศึกษาดูงานในพื้นที่ EEC ใน 12 สาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยไทยมีสิทธิประโยชน์ให้แก่นักลงทุนต่างชาติในพื้นที่ดังกล่าว อาทิ การยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากร การถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เป็นต้น

ในช่วงท้าย นายกฯ กล่าวว่า ไทยในฐานะประธานอาเซียน ได้ให้ความสำคัญกับวิสัยทัศน์ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-จีน ค.ศ. 2030 ซึ่งจะเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง และส่งเสริมความร่วมมือบนผลประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งสนับสนุนให้มีการสรุปผลการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ภายในปีนี้ ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยไทยยินดีที่จีนตอบรับเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรี RCEP สมัยพิเศษในเดือน ส.ค.ปีนี้