วันก่อน คุณอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีคลัง แสดงความเป็นห่วงต่อเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้งว่า นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เริ่มชะลอการลงทุนไว้ประมาณ 1–2 เดือน เพื่อรอดูความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล ถ้าการจัดตั้งรัฐบาลยืดเยื้อออกไป จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น แต่นักลงทุนไทยส่วนใหญ่คุ้นชินกับการเมืองในประเทศอยู่แล้ว ได้มีการวางแผนตัดสินใจเรื่องการลงทุนอยู่แล้ว ส่วนนี้ยังคงเดินหน้าต่อไป

แต่การลงทุนขนาดใหญ่ นักลงทุนไทยก็ชะลอดูท่าทีเหมือนกัน พรรคไหนจะร่วมรัฐบาล ได้กระทรวงไหน จะได้แทงหวยถูก การทำธุรกิจในอนาคตจะได้ราบรื่นร่ำรวย

ตลาดหุ้นไทย ช่วงนี้ก็หงอยเหงา รอดูท่าทีการเมืองที่ยังไม่นิ่ง ไม่รู้ว่าพรรคไหนจะได้ ส.ส.กี่คน จะได้รัฐบาลรูปแบบไหน ดัชนีราคาหุ้นเลยไม่ขยับไปไหน มูลค่าซื้อขายก็น้อย ไม่ค่อยน่าลงทุน คุณไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาตลาดทุนไทย ก็ออกมาแสดงความเป็นห่วงเรื่องเสถียรภาพรัฐบาล แม้ พรรคพลังประชารัฐ จะมีภาษีดีกว่าในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ถ้ารัฐบาลมีเสียงในสภาผู้แทนเกิน 300 เสียง จะทำให้เกิดความเชื่อมั่น ถ้าจะให้เอกชนมั่นใจ ทีมเศรษฐกิจ ก็เป็นเรื่องสำคัญ ต้องเลือกคนมาเป็นรัฐมนตรีให้ถูกกับงาน มีความน่าเชื่อถือ มีคุณสมบัติพร้อมทำงาน ต้องไม่ใช่คนที่ร้องยี้

ประเด็นหลังผมว่าสำคัญที่สุด นายกฯตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่นายกฯในอนาคต ต้องพิจารณาให้ดีๆ ตอนนี้ “นักการเมืองที่คนร้องยี้” มีเยอะมากเสียด้วย

เมื่อ ตลาดทุนไทย ถูกการเมืองกดดันจนชะลอการลงทุนไปหมด โครงการลงทุนขนาดใหญ่ก็ชะงักรอรัฐบาลใหม่ แต่ เดอะ โชว์ มัสต์ โก ออน การลงทุนต้องมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนเดินหน้าต่อไปได้ จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ ตลาดทุนที่ผมคิดว่าน่าเข้าไปลงทุนที่สุดในตอนนี้ ก็คือ “ตลาดหุ้นกู้” ที่กำลังมาเงียบและมาแรงมากเลยทีเดียว

...

คุณอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยถึงภาพรวมของ การระดมทุนของบริษัทเอกชน ผ่าน ตลาดตราสารหนี้ ในไตรมาสแรกปี 62 นี้ว่า มีการออกตราสารหนี้ระยะยาว หรือ หุ้นกู้ เป็นมูลค่า 261,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 61 ที่มีจำนวน 224,466 ล้านบาท แต่มีบริษัทที่ออกหุ้นกู้เพียง 64 บริษัท ลดลงจากปีก่อนที่มีผู้ออกหุ้นกู้ 68 บริษัท คาดว่าปีนี้จะมีการออกหุ้นกู้ประมาณ 750,000–850,000 ล้านบาท ไม่น้อยเลยทีเดียว

บริษัทขนาดใหญ่ ที่มีการ ออกหุ้นกู้ลอตใหญ่ ตั้งแต่ช่วงต้นปี เพื่อล็อกต้นทุนการเงินระยะยาวในระดับต่ำก็มี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ เบียร์ช้าง มีการระดมทุนออกหุ้นกู้ก้อนใหญ่ที่สุดวงเงินกว่า 53,000 ล้านบาท รองมาคือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT มีการออกหุ้นกู้ 33,000 ล้านบาท โดย กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม มีการออกหุ้นกู้มากที่สุด 86,000 ล้านบาท รองมา กลุ่มไอซีที 46,805 ล้านบาท กลุ่มพาณิชย์ 31,000 ล้านบาท กลุ่มอสังหาฯ 25,894 ล้านบาท กลุ่มไฟแนนซ์ 21,827 ล้านบาท

หุ้นกู้ของบริษัทขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ จะให้ดอกเบี้ยต่ำ 3–4% ถ้าไม่ต้องการเสี่ยงมากก็ลงทุนได้ ถ้าต้องการดอกเบี้ยสูง ก็ต้องไปลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก จะได้ดอกเบี้ยประมาณ 6–7% แต่ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่กู้ราว 2-3 ปี

ก็เป็น อีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนยามนี้ ที่นำมาเล่าสู้กันฟังแก้เซ็ง เมื่อการเมืองไม่นิ่ง เศรษฐกิจการลงทุนก็เดี้ยงไปด้วย นักการเมืองทั้งหลายพึงตระหนัก คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คือประชาชนที่ไปออกเสียงเลือกตั้งนักการเมืองนั่นแหละ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”