ระหว่างวันที่ 20-25 มิ.ย.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเดินทางไปฝรั่งเศสและอังกฤษตามคำเชิญของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นไปตามมติข้อผ่อนปรนของ สหภาพยุโรป ที่ขอให้มีการพบปะหารือกัน การเดินทางครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นห่วงก็คือข้อเรียกร้องต่างๆที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงทางการค้า มาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ บางอย่างก็ปฏิบัติได้แต่บางอย่างต้องหารือในที่ประชุม ครม.และที่ประชุม สนช. ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า การกีดกันทางการค้าระหว่าง สหรัฐฯกับยุโรป มีปัญหากันอย่างหนัก โดยเฉพาะการประชุม G7 ที่ผ่านมา ข้อตกลงบางฉบับถูกฉีก หรือไม่ได้รับการยอมรับ มาตรการทางด้านภาษีที่ใช้เป็นเครื่องมือตอบโต้ทางการค้าด้วยข้ออ้างเป็นการรักษาดุลการค้าของแต่ละประเทศ เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

การจับมือระหว่าง ทรัมป์ กับ คิม เป็นปรากฏการณ์ที่บ่งชี้สำหรับอนาคตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลกใบนี้ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร การสร้างพันธมิตรหลายหน้าของทรัมป์ ด้านหนึ่งคือไม่ได้รับความเชื่อถือในฐานะผู้นำประเทศมหาอำนาจที่กลับไปกลับมาตลอดเวลา แต่อีกด้านหนึ่งคือ ความชาญฉลาด ในการต่อรองของ ทรัมป์ ที่คิดยุทธศาสตร์เชิงซ้อน มองข้ามช็อต มุ่งความสัมฤทธิผลของเป้าหมายมากกว่าภาพพจน์

...

ดังนั้น คำมั่นสัญญาที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ระหว่างการประชุมซัมมิตครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ 2 ผู้นำ แลกกับการถอนทหารและการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ของสหรัฐฯ จึงไม่ได้รับความเชื่อมั่นไปด้วย โดยเฉพาะประเทศที่ตกอยู่ในสถานการณ์ถูกคว่ำบาตรมาแล้วอย่าง อิหร่าน ออกโรงเตือนว่าอย่าไปให้ความสำคัญกับคำพูดของ ทรัมป์ เพราะสามารถเปลี่ยนคำพูดได้ตลอดเวลา

นี่คือการเมืองโลก การเมืองเศรษฐกิจและความมั่นคง ต้องไปด้วยกันและมีความยืดหยุ่น วิสัยทัศน์และไหวพริบของผู้นำ จะเชื่อมโยงไปถึงอนาคตของประเทศ การเมืองโลกวันนี้พลิกโฉมหน้าไปสู่คลื่นลูกใหม่ การเมืองในประเทศจะเป็นตัวสนับสนุนที่สำคัญ พูดง่ายๆคือเป็นแรงส่งให้ผู้นำได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ยกตัวอย่าง ไม่ว่าจะ ทรัมป์หรือคิม ทั่วโลกวิจารณ์กันสนั่น แต่คนอเมริกันหรือคนเกาหลีเหนือให้ความเชื่อมั่นในตัวผู้นำ ที่จะทำหน้าที่เพื่อคนทั้งประเทศ

ประเทศไทยทุกวันนี้ ผู้นำประเทศถูกทำร้ายและทำลายคนแล้วคนเล่า หากผู้นำประเทศไม่มีเกราะป้องกัน ประเทศก็ไปไม่รอดด้วย ทางลงของผู้นำประเทศไทยไม่ค่อยสง่างามนัก

การเลือกตั้งที่จะมาถึงในปีหน้าจึงเป็นการชี้ชะตาอนาคตของประเทศไทยจะย่ำเท้าอยู่กับที่ เจาะเวลาหาอดีต หรือจะมองไปข้างหน้า เหมือนประเทศที่เจริญแล้ว

หรือติดหล่มจมปลักไม่ฟื้น.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th