"สามารถ" โพสต์ตั้งแง่ประมูล รถเมล์ NGV จี้ รมว.คมนาคม ถามเหตุไม่ตั้ง คกก.สอบ "ไอ้โม่ง" ประมูลหาข้อเท็จจริง กระตุ้นใช้อำนาจหน้าที่ระงับความเสียหาย

เมื่อวันที่ 21 เม.ย.61 นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กตั้งข้อสังเกต 4 ประการ ในการไม่ยอมตั้งกรรมการสอบสวนหาตัวคนที่แฝงตัวทำงาน หรือ "ไอ้โม่ง" ในการประมูลรถเมล์เอ็นจีวีครั้งที่ 8 โดยระบุว่า "จากกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 10 เม.ย.61 ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลครั้งที่ 4 ในโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน พร้อมซ่อมบำรุงรักษาระยะเวลา 10 ปี เป็นเงินประมาณ 1,160 ล้านบาท เนื่องจากถูก ขสมก.บอกเลิกสัญญา และมีคำสั่งให้ ขสมก.ทุเลาการบังคับตามมติของคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(บอร์ด ขสมก.) ที่มีมติให้ ขสมก.ทำสัญญากับบริษัท ช.ทวี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท สแกนอินเตอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลครั้งที่ 8 ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 และวันที่ 20 ธ.ค.60 เนื่องจากศาลได้ไต่สวนแล้วพบว่า ไม่มีมติดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ดังนั้นการทำสัญญาระหว่าง ขสมก.กับ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งศาลได้สั่งห้ามมิให้ ขสมก.นำมติดังกล่าวไปดำเนินการใดๆ ที่มีผลผูกพันกับ ขสมก.เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น" 

นายสามารถ ระบุต่อว่า "หลังจากนั้น นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคมได้ให้สัมภาษณ์ว่า จะเดินหน้าตามสัญญา พร้อมทยอยรับมอบรถจนครบ 489 คัน ตามสัญญาที่ระบุไว้ อย่างไรก็ตามยืนยันและเชื่อมั่นในกระบวนการของ ขสมก.ที่ดำเนินการไปตามระเบียบที่กำหนดไว้ รวมถึงการยึดถือประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก นับว่าเป็นการให้สัมภาษณ์ที่สวนทางกับคำสั่งศาลอย่างชัดเจน เนื่องจากศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ ขสมก.ดำเนินการใดๆ ที่มีผลผูกพันกับ ขสมก.เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

...

ดังนั้น การรับรถเพิ่มเติมจึงไม่สามารถกระทำได้ซึ่งจากการให้สัมภาษณ์ของ รมว.คมนาคมดังกล่าวข้างต้น เป็นเหตุให้บริษัท สยาม สแตนดาร์ด เอนเนอจี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประมูลครั้งที่ 8 ด้วย เข้ายื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 19 เม.ย.61 ให้ไต่สวนและกำหนดบทลงโทษ รมว.คมนาคม ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลให้ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งอีกไม่นานคงได้รู้ว่าศาลจะมีคำสั่งว่าอย่างไร โดยต่อมา รมว.คมนาคม ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า รถเมล์เอ็นจีวีลอตแรกจำนวน 100 คันนั้น ขสมก.ชี้แจงว่าเป็นรถที่มีการตรวจรับและจ่ายเงินไปก่อนที่ศาลจะมีคำสั่ง ขณะนี้ได้มีการนำออกให้บริการประชาชนแล้ว ส่วนลอตที่ 2 อีก 100 คันนั้น จะต้องชะลอการรับมอบไปก่อนตามคำสั่งศาล ยืนยันว่า รมว.คมนาคมนั้น มีหน้าที่กำกับและให้นโยบาย ไม่มีอำนาจทางกฎหมายที่จะไปล้วงลูกการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงาน หรือสั่งการให้หยุดวิ่งแต่อย่างใด เพราะเป็นหน้าที่ของ ขสมก.ที่จะพิจารณา"

นายสามารถ ระบุต่อว่า "จริงหรือไม่ที่ รมว.คมนาคมบอกว่า ขสมก.รับรถลอตแรก 100 คัน และจ่ายเงินไปก่อนที่ศาลจะมีคำสั่ง และจริงหรือไม่ที่รมว.คมนาคม ไม่มีอำนาจทางกฎหมายที่จะไปล้วงลูก ถ้าการล้วงลูกนั้นเป็นการสั่งการให้ ขสมก.ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้โปร่งใสและเป็นธรรม ตอบว่าไม่จริง ด้วยเหตุผลดังนี้

"สำหรับประเด็นแรก ผมยืนยันได้ว่า ขสมก.ยังไม่ได้รับรถลอตแรก 100 คัน และยังไม่ได้จ่ายเงินก่อนที่ศาลจะมีคำสั่ง กล่าวคือ คำพิพากษาของศาลระบุไว้ชัดว่า "ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง(หมายถึง ขสมก.และบอร์ด ขสมก.) กล่าวอ้างว่า คู่สัญญา (หมายถึง ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์) ส่งมอบและได้รับรถยนต์ปรับอากาศตามสัญญาไว้แล้วเมื่อวันที่ 26 มี.ค.61 จำนวน 100 คัน เห็นว่าเป็นคำกล่าวอ้างที่ปราศจากหลักฐาน ทั้งที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองสามารถจัดส่งหลักฐานต่อศาลได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานการตรวจรับรถยนต์ หรือบันทึกรายงานผลการตรวจรับพัสดุ นั่นหมายความว่า ขสมก.ไม่สามารถส่งหลักฐานการรับรถให้ศาลได้ เมื่อไม่มีการรับรถเกิดขึ้น แล้ว ขสมก.จะจ่ายเงินให้ ช.ทวีร่วมกับสแกนอินเตอร์ได้อย่างไร จนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่มีการจ่ายเงิน 

ส่วนประเด็นที่ 2 เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ รมว.คมนาคมนั้น คำพิพากษาของศาลเขียนไว้ว่า "แม้กลไกของกฎหมายจะบัญญัติให้ รมว.คมนาคมมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบควบคุมดูแลกิจการของ ขสมก. และมีอำนาจที่จะเรียกให้ผู้อำนวยการ ขสมก.และประธานหรือกรรมการของบอร์ด ขสมก.ชี้แจงข้อเท็จจริง รายงานสั่งให้กระทำหรือยับยั้งการกระทำใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจสอบสวนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการดำเนินกิจการของ ขสมก.ตามมาตรา 12 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ.2519 ได้ แต่ไม่มีการดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงของฝ่ายปกครอง เพื่อสั่งการให้กระทำหรือยับยั้งการกระทำเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อ ขสมก.และงบประมาณของรัฐแต่อย่างใด" นายสามารถ ระบุ

นายสามารถ ระบุต่อว่า "ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า รมว.คมนาคม มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะสั่งการให้ ขสมก.ดำเนินงานให้ถูกต้อง เพื่อไม่เกิดความเสียหายต่อ ขสมก.และงบประมาณแผ่นดิน การที่ศาลมีคำสั่งให้ ขสมก.ชดใช้ค่าเสียหายให้เบสท์รินเป็นเงินประมาณ 1,160 ล้านบาทนั้น ถือเป็นความเสียหายต่อ ขสมก.และงบประมาณแผ่นดิน ที่สำคัญการไม่ยอมตั้งกรรมการสอบสวนหาตัวคนที่แฝงตัวทำงาน หรือ "ไอ้โม่ง" ในการประมูลครั้งที่ 8 ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นการประมูลที่ไม่ชอบมาพากล ตามที่ผมได้ตั้งข้อเกตไว้แล้ว 4 ประการ ในบทความของผมเรื่อง "เบื้องลึกประมูลรถเมล์เอ็นจีวีที่คนไทยต้องรู้" ซึ่งผมได้โพสต์ไว้เมื่อวันที่ 18 เม.ย.61 และสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวนี้อย่างแพร่หลายแล้วนั้น ถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ทางกฎหมายหรือไม่ และหากปล่อยไว้แล้วมีความเสียหายเกิดขึ้น รมว.คมนาคม จะไม่ต้องรับผิดชอบได้หรือไม่

นายสามารถ ระบุต่อว่า อนึ่งอำนาจหน้าที่ของ รมว.คมนาคม ดังกล่าวข้างต้นได้ถูกบัญญัติไว้ชัดเจนยิ่งกว่าการใช้อำนาจหน้าที่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว(กนข.) ในการระงับยับยั้งความเสียหายเกี่ยวกับการระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งถูกดำเนินคดีและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกพิพากษาลงโทษจำคุก ดังนั้นหาก รมว.คมนาคมไม่ใช้อำนาจหน้าที่ในการระงับยับยั้งความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อ ขสมก.และงบประมาณแผ่นดินก็น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง" 

"ข้อสังเกตของผมทั้ง 4 ประการนั้น ใครได้อ่านก็รู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในการประมูลครั้งที่ 8 แล้วเหตุใด รมว.คมนาคม จึงไม่ยอมตั้งกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ตามอำนาจหน้าที่ที่มี ?" นายสามารถ ระบุต่อ