โกงทั้งระบบ กลบเกลื่อนไม่ได้

มากันเป็นลอตๆเลยทีเดียว ใครเป็นรัฐบาลกับสถานการณ์

โกงกินอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากกระบอกปืน

ไปไม่ค่อยจะรอดหรอกครับ...

เผอิญที่ว่าเรื่องทุจริตที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการโกงกินคนจน การโกงเงินนักเรียนจากกองทุนเสมาฯนั้น เกิดมาก่อนรัฐบาลชุดนี้

เป็นเรื่องของ “ข้าราชการ” ไม่ได้เกี่ยวโดยตรงกับรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ ก็เลยไม่โยงกันมากนัก อีกทั้งไม่มีฝ่ายค้านที่จะตรวจสอบอย่างเข้มข้น

แต่ในทางการเมืองแล้ว “หัวร้อน” อย่างไม่ต้องสงสัย

ว่าไปแล้วเรื่องนี้ต้องขอบคุณ “น้องแบม” ที่เปิดเกมนี้ด้วยกล้าหาญเมื่อปูดเรื่องมีการทุจริตโกงเงินคนจนที่ขอนแก่นจนลุกลามบานปลายไปทั่วประเทศ

พูดง่ายๆว่าเจาะลงไปตรงไหนเจอที่นั่น

จากเรื่องนี้ก็ขยายไปสู่เรื่องอื่นๆ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ส่งผลไปสู่กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งโกงเหมือนกันจาก “โกงคนจน” ไปสู่ “โกงนักเรียน”

“โกงคนจน” นั้น เมื่อสอบสวนทวนความกันแล้ว พบว่าตั้งแต่ระดับพื้นที่ขึ้นไปสู่ระดับสูง พาดพิงไปถึงปลัดและรองปลัดกระทรวง

มิน่าล่ะ...กรรมวิธีการโกงจึงเป็น “สูตรสำเร็จ” เหมือนกันทุกพื้นที่ที่พบการทุจริต ถือว่าเป็นการกระทำผิดทั้งระบบก็ว่าได้

จากกระทรวง “นักบุญ” กลายเป็น “คนบาป” ทันควัน

“โกงนักเรียน” มาอีกแบบหนึ่งมาแบบเงียบๆ โกงแบบเลือดเย็น โดยมีข้าราชการหญิงระดับซี 8 ฟาดมานิ่มๆยาวนาน

มีการสอบสวนแล้วพบว่าผิดจริง จึงสั่งให้ออกจากราชการและดำเนินการยึดทรัพย์ตรวจสอบเส้นทางการเงินชัดเจน คือ
เอาเงินใส่บัญชีญาติพี่น้อง แล้วก็โอนกลับมาเข้าบัญชีตัวเอง

...

แต่การทุจริตในลักษณะนี้นั้น ผ่านมาหลายรัฐมนตรี ผ่านมาหลายปลัดกระทรวง จึงน่าสงสัยว่ามีตัวใหญ่ๆเอี่ยวอยู่หรือเปล่า
ปลัดกระทรวงฯนั้น ผ่านมาหลายคน และทุกคนจะเป็นประธานกองทุนนี้โดยตรง ถามว่าไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เลยหรือ

จริงๆแล้วว่าในฐานะประธานจะต้องรับผิดชอบด้วย

เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆนะครับ...แม้กระทั่งคนยากคนจน นักเรียนยังกล้าที่จะโกงได้ จิตใจไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร

อย่างว่าแหละครับ...ขนาดพระเจ้ายังเกิด “เงินทอนวัด” นับประสาอะไรล่ะครับ...

รัฐบาลชุดนี้ แม้จะเฉียดๆ แต่ก็ต้องทำความจริงให้ปรากฏ นั่นคือสอบสวนหาคนผิดมาลงโทษให้หมด ไม่ว่าจะระดับไหน ไม่ว่าจะพ้นจากข้าราชการไปแล้วก็ตาม

เป็นการล้างท่อระบบราชการ “ขี้ฉ้อ” ให้หมดไป เพราะพฤติกรรมที่เกิดขึ้น แม้จะกระทำผิดมาก่อน แต่ก็ไม่ได้หวั่นใจแม้แต่น้อย

เพราะทั้งนโยบายรัฐบาลและนายกฯ ที่ประกาศเสียงดัง

ฟังชัดว่าจะจัดการการทุจริตไม่ไว้หน้าใครโกงต้องเชือด

แต่พอเจอเรื่อง “นาฬิกาหรู” กลับจ๋อยไปอย่างผิดสังเกต ล่าสุด ป.ป.ช.ระบุว่าสอบสวนแล้วพบว่า ในจำนวน 25 เรือนนั้นซ้ำกัน 3 เรือน เพื่อนคนเดียวที่ให้ยืม ส่วนแหวนเพชรราคาไม่ถึง 2 แสนจบไป

ข้อสงสัยก็คือเพื่อนใจดีให้ยืมนาฬิกาไปใช้ถึง 22 เรือนเลยหรือ หากแค่เรือนสองเรือนก็พอจะเข้าใจกันได้
ป.ป.ช.ดูท่าจะเชื่อเสียด้วยสิ...

“สายล่อฟ้า”