ป.ป.ช.เปิดกรุสมบัติ ครม. “ประยุทธ์ 5” สุดอู้ฟู่ รมต.หน้าใหม่ “ไพรินทร์” รวยสุด 179 ล้าน “กฤษฎา” จิ๊บๆ 15 ล้าน พิษนาฬิกาหรูทำผวาหนัก “บิ๊กฉัตร-บิ๊กโย่ง” แจงยิบครองนาฬิกาคนละ 3 เรือน “ลักษณ์” มีพระเครื่อง 500 บาท ยังแจ้งกันเหนียว เลขาฯ ป.ป.ช.ฟุ้งสอบ “นาฬิกาเพื่อน” คืบไปมาก สื่อนอกแห่ตีข่าวกระฉ่อน สนช.จัดให้รื้อร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.เลื่อนบังคับใช้ไปอีก 90 วัน อ้างเฉยติดคำสั่ง คสช.กลัวพรรคการเมืองเตรียมตัวไม่ทัน “วิษณุ” โบ้ยทันทีเป็นเรื่องสภา อุบอิบขยับโรดแม็ป พท.ห่วง สนช.ทำสัญญาประชาคมนายกฯสิ้นมนต์ขลัง “อำนวย” ชี้หักหน้าผู้นำกลายเป็นตัวตลก-เด็กเลี้ยงแกะ “นิพิฏฐ์” เตือนบิดเบือน ก.ม.ระวังก่อวิกฤติซ้ำรอย “สมชัย” ติง สนช.ระวังเป็นแพะ สนช.รื้อแหลกร่างฯ ส.ว.ลากตั้ง ยุบที่มาเหลือ 15 กลุ่ม โละทิ้งเลือกไขว้ ปชป.กระตุก คสช.จะล้มเพราะหลง-เหลิงอำนาจ

พิษนาฬิกาหรูทำผวาตามๆกัน ล่าสุดกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดกรุบัญชีทรัพย์สินรัฐบาล “ประยุทธ์ 5” ของรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง และรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งไป ต่างแจกแจงรายละเอียดทรัพย์สินมากขึ้น ขนาดมีมูลค่าเพียง 500 บาท ยังแจ้งกันเหนียวเอาไว้ก่อน

ป.ป.ช.เปิดกรุสมบัติ “ประยุทธ์ 5”

เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 19 ม.ค.ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการเปิดเผยบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ “ประยุทธ์ 5” จำนวน 18 คน ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 30 พ.ย.2560 โดยในส่วนรัฐมนตรีหน้าใหม่ 10 คน พบว่า นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช. คมนาคม มีทรัพย์สินมากที่สุด 179,116,947 บาท ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุน ขณะที่รัฐมนตรีคนอื่น อาทิ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 23,005,078 บาท มีของสะสมคือเปียโนมูลค่า 535,500 บาท ชุดแต่งรถยนต์ยี่ห้อวอลโว่ มูลค่า 197,500 บาท พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม มีทรัพย์สิน 30,234,354 บาท นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา มีทรัพย์สิน 60,014,448 บาท นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน มีทรัพย์สิน 16,028,670 บาท นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ มีทรัพย์สิน 15,268,068 บาท นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รมช.เกษตรและสหกรณ์ มีทรัพย์สิน 28,489,813 บาท นายลักษณ์ วจนานวัช รมช.เกษตรฯ มีทรัพย์สิน 84,566,662 บาท นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สิน 66,934,730 บาท และนายสมชาย หาญหิรัญ รมช.อุตสาหกรรม มีทรัพย์สิน 72,480,554 บาท

...

“บิ๊กฉัตร–บิ๊กโย่ง” มีนาฬิกา 3 เรือน

ส่วนรัฐมนตรีที่ปรับเปลี่ยนตำแหน่ง อาทิ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 35,278,559 บาท โดยแจ้งว่ามีนาฬิกา 3 เรือน มูลค่า 200,000-700,000 บาท นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 26,129,821 บาท พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีทรัพย์สิน 48,804,646 บาท โดยแจ้งว่ามีนาฬิกา 3 เรือน มูลค่าตั้งแต่ 250,000-920,000 บาท นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ มีทรัพย์สิน 113,291,318 บาท น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ มีทรัพย์สิน 238,861,209 บาท พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน มีทรัพย์สิน 87,545,680 บาท นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีทรัพย์สิน 90,836,749 บาท ขณะที่รัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งที่น่าสนใจ อาทิ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร อดีตรองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 187,199,090 บาท พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีต รมช.กลาโหม มีทรัพย์สิน 56,888,681 บาท นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร อดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา มีทรัพย์สิน 319,090,812 บาท เมื่อเทียบตอนเข้ารับ ตำแหน่งปี 2557 มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 13.8 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังแจ้งว่ามีนาฬิกาและเข็มขัด 7 รายการ มูลค่ารวม 1.9 ล้านบาท ขณะที่คู่สมรสแจ้งว่ามีนาฬิกา 9 รายการ มูลค่า 25.7 ล้านบาท แต่ไม่ระบุราคาและยี่ห้อแต่ละเรือน รวมถึงมีพระเครื่องและพระพุทธรูป 22 รายการ มูลค่า 97 ล้านบาท

ผวาหนักมูลค่า 500 บาทยังแจ้ง

ขณะที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล อดีต รมช.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สิน 1,322,749,324 บาท พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย อดีตรองนายกฯ มีทรัพย์สิน 14,173,946 บาท นายพิชิต อัคราทิตย์ อดีต รมช.คมนาคม มีทรัพย์สิน 154,110,490 บาท นางอรรชกา สีบุญเรือง อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีทรัพย์สิน 72,330,779 บาท นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ อดีต รมต.ประจําสํานักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 69,989,349 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าในการยื่นแสดงบัญชีของรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้ ส่วนใหญ่มีการแจกแจงรายละเอียดของทรัพย์สินมากขึ้น โดยเฉพาะทรัพย์สินที่เป็นนาฬิกาหรู เครื่องประดับ และของสะสม มีการแจกแจงทุกรายการ แม้บางรายการจะมีมูลค่าไม่ถึง 2 แสนบาท ตามระเบียบไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน แต่มีการแจ้งให้ ป.ป.ช.รับทราบด้วย อาทิ นายลักษณ์ วจนานวัช รมช.เกษตรฯ ที่แจ้งในส่วนของพระเครื่อง พระพุทธรูปที่มีราคา 500 บาท และ 2,500 บาท ให้ ป.ป.ช.รับทราบด้วย

“วรวิทย์” ฟุ้งสอบคืบหน้ามาก

นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีนาฬิกาหรูและแหวนเพชร ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่า อยู่ระหว่างการให้สำนักงาน ป.ป.ช. รวบรวมพยานหลักฐานให้เรียบร้อยก่อน คาดว่าใช้เวลาไม่นาน ขอให้ใจเย็นๆก่อน ขณะนี้เป็นขั้นตอนตรวจสอบความถูกต้อง และความมีอยู่จริงของทรัพย์สิน มีความคืบหน้าไปพอสมควรแล้ว ส่วนที่สังคมออนไลน์เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนาฬิกาหรูจำนวน 25 เรือนนั้น จะนำมาตรวจสอบทั้งหมด ต้องขอบคุณสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้องที่ให้ข้อเท็จจริง ป.ป.ช. ถือเป็นความร่วมมือในการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริง เป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน เมื่อถามว่า มีหลักฐานเพียงพอที่จะเสนอต่อที่ประชุม ป.ป.ช.แล้วหรือยัง นายวรวิทย์ตอบว่า ขอให้สำนักงาน ป.ป.ช.รวบรวมข้อมูลก่อน

สื่อนอกตีข่าวนาฬิกาหรูกระฉ่อน

วันเดียวกัน สำนักข่าวเอพีรายงานว่า รัฐบาลทหารไทยกำลังเข้าสู่ปีที่ 4 ของการบริหารอำนาจ แต่เวลาของนายพลหลายคนกำลังใกล้หมดไปทุกขณะ โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่กำลังตกเป็นเป้าโจมตีของสังคมอย่างหนัก จนสร้างความเสียหายแก่ภาพลักษณ์รัฐบาลโดยรวม จากกรณีสวมใส่นาฬิกาหรูหลายเรือน บางกระแสระบุว่ามีมากถึง 25 เรือน และนาฬิกาทั้งหมดมิได้ถูกชี้แจงในบัญชีทรัพย์สิน ซึ่ง พล.อ.ประวิตรชี้แจงว่ายืมมาจากเพื่อน ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานถึงปมนาฬิกาหรูเช่นกัน ระบุว่า พล.อ.ประวิตรยืนยันพร้อมที่จะลาออก หาก ป.ป.ช.ชี้ว่ามีความผิด

ด้านเว็บไซต์ข่าวแท็บลอยด์เดลี่เมลของอังกฤษ รายงานข่าวพาดหัวเมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า “นายพลโรเล็กซ์” พร้อมระบุว่า พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นเบอร์ 2 ของรัฐบาลทหาร ถูกบรรดานักสืบในเครือข่ายสังคมออนไลน์ตรวจสอบอย่างหนัก หลังพบเห็นว่าสวมใส่นาฬิกาหรูถึง 25 เรือน ซึ่งเดลี่เมลอังกฤษมีการลงภาพรุ่นนาฬิกามาประกอบในข่าว พร้อมรวมราคาทั้งหมดว่ามีมูลค่าราว 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 40.8 ล้านบาท

“เอกชัย” หวิดเจอดีที่ทำเนียบฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 09.00 น. ที่ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล นายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวอิสระ พร้อมนายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ ได้นำนาฬิกาจำนวน 3 เรือน และโปสเตอร์คอลเลกชั่นนาฬิกา 25 เรือนมามอบให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม แต่ปรากฏว่าขณะที่นายเอกชัยกำลังโชว์นาฬิกาอยู่นั้น นายฤทธิไกร ชัยวรรณศาสน์ ชาว จ.จันทบุรี อายุ 56 ปี ปรี่เข้ามาจะทำร้ายนายเอกชัย แต่เจ้าหน้ากันตัวไว้ทัน ก่อนนำตัวนายฤทธิไกรไป สน.ดุสิต ส่วนนายเอกชัยและนายโชคชัย ทางเจ้าหน้าที่เชิญตัวเข้ามาในสำนักงาน ก.พ. ทั้งนี้จากการตรวจค้นร่างกายนายฤทธิไกร พบมีดพกแบบพับยาวขนาด 3 นิ้วซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายข้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหาพกมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรดำเนินคดีต่อไป จากนั้นได้เชิญตัวนายเอกชัยและนายโชคชัย ไปพูดคุยทำความเข้าใจที่ สน.ดุสิต ด้วย

พท.ห่วงคำพูดนายกฯ ไม่ขลัง

นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศและแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อาจปรับแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้กฎหมายมีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน จากร่างเดิมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ให้มีผลบังคับใช้ทันที ว่า ยังไม่ชัดเจนว่าจะทำจริงหรือไม่ แต่ถ้าทำจริงอาจส่งผลให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไป ต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่าทำทำไม ประเทศได้ประโยชน์อย่างไร นักการเมืองไม่ได้เดือดร้อนว่าจะเลือกตั้งช้าไปสองสามเดือน ถ้ามีคำอธิบายที่ดีพอ แต่ไม่อยากให้ความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีที่ไปประกาศในเวทีนานาชาติว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.2561 ได้รับผลกระทบ เพราะจะทำให้การทำงานยากขึ้น และจะลามไปยังความน่าเชื่อถือของประเทศ เพราะเคยมีการตกลงในคำแถลงการณ์ร่วมที่ทำกับสหรัฐอเมริกา และต่อมาสหภาพยุโรปก็ยึดคำพูดดังกล่าว จนยอมติดต่อทางการเมืองกับไทยอีกครั้ง

อย่าประเมินคนไทยต่ำเกินไป

นายนพดลกล่าวว่า อยากให้ สนช. และรัฐบาลคิดให้ถี่ถ้วนและเห็นแก่ประเทศ ให้โอกาสประเทศเดินหน้าตามครรลอง อย่าประเมินสติปัญญาของคนไทยที่รู้เท่าทันความพยายามเช่นนี้ต่ำเกินไป ไม่อยากเห็นความขัดแย้งรอบใหม่ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการสร้างความปรองดอง แต่คิดว่ายังมี สนช.ที่มีจิตสำนึกอยู่ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ทางการเมือง และไม่สร้างภาระให้ประเทศ

จับไต๋ยื้อเอื้อกองหนุน “บิ๊กตู่”

นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ถ้าดูผิวเผินไม่มีอะไร แต่ที่น่าสนใจคือทุกคนต่างเฝ้ารอการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว กระแสข่าวที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ เรื่องปกติ ส่อว่ามีเจตนาอื่นแอบแฝงซ่อนเร้นหรือไม่ เพราะ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองก็ถูกขยายเวลาโดยใช้มาตรา 44 ไปแล้ว หาก สนช.ปรับแก้จริงตาม กระแสข่าว ยิ่งสะท้อนชัดเจนว่าเครือข่ายแม่น้ำ 5 สายมีเจตนาขยายเวลาการเลือกตั้งให้ยืดยาวออกไป ซึ่งกระทบกับโรดแม็ปเลือกตั้งที่นายกฯเคยประกาศไว้ อาจเป็นความต้องการช่วยเหลือพรรคการเมืองที่จะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นนายกฯอีกครั้ง ให้มีเวลาเตรียมความพร้อมสู่สนามเลือกตั้ง การทำอะไรควรชี้แจงเหตุผลออกมา แล้วดูว่าประชาชนรับได้หรือไม่

อย่าทำให้ผู้นำเป็นเด็กเลี้ยงแกะ

นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศชัดเจนจะมีการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.นี้ ทุกฝ่ายต่างให้เกียรติกับคำพูดนายกฯ เฝ้ารอการเลือกตั้งช่วงปลายปี เรื่องเศรษฐกิจที่ตอนนี้ย่ำแย่ ประชาชนก็คาดหวังว่าเมื่อมีการเลือกตั้งแล้วปัญหาเศรษฐกิจจะมีคนเข้ามาขับเคลื่อนให้ดีขึ้น แต่อยู่ๆมีกระแสข่าวว่า สนช.หนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย เตรียมใช้ช่องกฎหมายเพื่อเลื่อนโรดแม็ปเลือกตั้งออกไปเป็นต้นปี 2562 เหมือนไม่ให้ความสำคัญกับคำพูดนายกฯ แล้วต่อไปใครจะให้น้ำหนักคำพูด พล.อ.ประยุทธ์อีก เรื่องนี้คนในแม่น้ำ 5 สายต้องคุยกัน เพราะการทำเช่นนี้เป็นการหักหน้าผู้นำประเทศ ทำให้กลายเป็นตัวตลก เป็นเหมือนเด็กเลี้ยงแกะที่จะไม่มีใครให้น้ำหนักในคำพูดของท่านอีก

“นิพิฏฐ์” หวั่นวิกฤติซ้ำรอย พท.

วันเดียวกัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสเฟซบุ๊กระบุว่า การหน่วงเวลาบังคับใช้กฎหมาย ส่วนใหญ่จะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับภาษี เพื่อให้หน่วยงานราชการหรือประชาชน มีโอกาสปรับตัวเข้ากับระบบภาษีใหม่ แต่คราวนี้เป็นการหน่วงเวลาเพื่อยืดการเลือกตั้ง เท่าที่จำได้ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน การหน่วงเวลาเลือกตั้งโดยกฎหมายครั้งนี้ เหมือนการบิดเบือนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้เลือกตั้งใน 150 วัน หลังกฎหมายใช้บังคับ หากเราย้อนเวลาหาอดีต คงจำได้ว่าการบิดเบือนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญก่อให้เกิดวิกฤติในประเทศเกือบทุกครั้ง ก่อนนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยพยายามแก้รัฐธรรมนูญ ก็เกิดวิกฤติ มาครั้งนี้การหน่วงเวลาบังคับใช้กฎหมาย ก็เท่ากับบิดเบือนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญเช่นกัน เพียงแต่ครั้งที่แล้วเป็นการบิดเบือนโดยผู้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ครั้งนี้เป็นการบิดเบือนโดยผู้มาจากเผด็จการ

ปลาไหลน้อยของดวิจารณ์

ที่พรรคชาติไทยพัฒนา อดีต ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา ในนามกลุ่มนิวบลัด นำโดยนายภราดร ปริศนานันทกุล อดีต ส.ส.อ่างทอง นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ และนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล อดีต ส.ส.อ่างทอง นัดพบปะสื่อประจำสัปดาห์ นายภราดรให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว สนช.จะขยายเวลาการบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ออกไป 90 วัน ว่า ไม่แน่ใจว่าเรื่องจริงหรือไม่ มีเจตนาอะไร ยังไม่ขอแสดงความเห็นอะไร แต่ตามหลักกฎหมายสามารถขยายได้ แต่ข่าวที่ออกมาส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือในตัวนายกฯ ที่ประกาศว่าจะเดินตามโรดแม็ป และจะเลือกตั้งปลายปี 2561

อ้อนพูดชัดๆได้เลือกวันไหนแน่

เมื่อถามว่าในมุมของพรรคชาติไทยพัฒนา การให้มีผลในวันรุ่งขึ้น หรือให้มีผลใน 90 วัน แบบไหนจะได้ประโยชน์กว่ากัน นายสิริพงศ์ตอบว่า เลือกตั้งเมื่อไรขึ้นอยู่กับกติกา หลายคนพูดกันวงนอกว่าปีนี้อาจจะไม่ได้เลือก ต้องรอดู ประเด็นสำคัญคือวันไหนก็เอาให้ชัด เราพร้อมหมด และมีเวลาทำงานเท่าเทียมเป็นธรรม

นายกรวีร์กล่าวเสริมว่า การออกข่าว การโยนหินว่าการเลือกตั้งต้องขยับไปอีก 90 วัน สิ่งที่ห่วงคือภาพลักษณ์ของรัฐบาล ถามว่า 2 พรรคใหญ่ หรือพรรคขนาดกลางอย่างพรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคเล็ก ถ้าอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน ไม่เสียเปรียบ และเจอข้อจำกัดเดียวกัน เรารับได้ แต่อยากฝากถึงกรรมาธิการฯ และรัฐบาล ไม่อยากให้มองนักการเมืองหรือพรรคการเมืองเป็นปฏิปักษ์ อยากให้รับฟังความเห็นฝ่ายการเมืองด้วย หากเขียนกฎหมายทำให้ฝ่ายการเมืองรู้สึกว่ากลั่นแกล้ง หรือทำให้บางกลุ่มบางพรรคได้หรือเสียประโยชน์ จะเกิดข้อขัดแย้งในอนาคตได้

“สมชัย” เตือน สนช.ระวังเป็นแพะ

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า การขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายต้องมีเหตุผล อย่างร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ตามที่มีกระแสข่าว ต้องดูว่าสนช.ใช้เหตุผลอะไรมาอ้างว่าจำเป็นต้องทอดเวลาออกไป 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ได้ถามผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แล้วหรือยัง หากบอกว่าพรรคการเมืองไม่พร้อม ยังเตรียมการไม่ทัน สนช.ได้ถามพรรคการเมืองหรือยัง หากบอกว่า กกต.ในฐานะผู้จัดการเลือกตั้ง อาจเตรียมการเรื่องต่างๆไม่ทัน สนช.สอบถามมายัง กกต.หรือยัง เช่นเดียวกับหากบอกว่าประชาชนยังไม่พร้อม ก็ต้องถามว่าได้ถามประชาชนหรือยัง และหากเป็นเรื่องนโยบายที่รัฐบาลและ คสช.ยังเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาให้มีการเลือกตั้ง สนช.ก็ควรทำหนังสือสอบถามและมีการยืนยันจาก ครม. หรือ คสช. สนช. จะได้ไม่เป็นแพะต่อสังคม หาก สนช.ยังดึงดันออกกฎหมาย โดยใช้เหลี่ยมคูเพื่อยืดเวลาเลือกตั้งทั้งที่นายกฯได้สัญญาต่อประชาชนไว้ สนช.ชุดนี้คงได้รับการประทับตราโบดำอีกครั้ง หลังจากผ่านกฎหมายหลายฉบับที่ไร้มาตรฐานอย่างที่ผ่านมา

ยุบเหลือ 15 กลุ่มที่มา ส.ว.ลากตั้ง

ที่รัฐสภา พล.ร.อ.ธราธร ขจิตสุวรรณ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. แถลงว่า ที่ประชุม กมธ.เสียงส่วนใหญ่ เห็นชอบให้แบ่งกลุ่มผู้สมัคร ส.ว. จากร่างเดิมของกรธ.กำหนดให้มี 20 กลุ่ม เหลือ 15 กลุ่ม และปรับเปลี่ยนวิธีการเลือกในมาตรา 40-42 คือยกเลิกระบบการเลือกไขว้ระหว่างกลุ่ม ให้เป็นการเลือกกันเองโดยตรง แต่ยังคงวิธีการเดิม คือ ระดับอำเภอ จังหวัด และระดับประเทศ ขณะที่ กมธ.เสียงข้างน้อยที่เป็นตัวแทนจาก กรธ. เสนอวิธีการป้องกันการฮั้วไว้ เมื่อถามว่าการปรับลดเหลือ 15 กลุ่ม จะทำให้ได้ ส.ว.ครบ 200 คนอย่างไร พล.ร.อ. ธราธรตอบว่า ทั้ง 15 กลุ่มเมื่อเลือกแล้วจะได้ ส.ว.กลุ่มละ 13 คน รวม 15 กลุ่มจะได้ ส.ว. 195 คน ที่ประชุมจึงให้พิจารณากลุ่มที่มีผู้สมัครมากที่สุดเรียงลำดับ 1-5 จะได้เพิ่มอีกกลุ่มละ 1 คน เป็นการกระจาย ส.ว.ในแต่ละกลุ่มอาชีพ ก็จะได้ ส.ว.ครบ 200 คน จากนั้นส่งให้ กกต.ประกาศผลต่อไป

สนช.จัดให้ลากยาวเลือกตั้ง ส.ส.

ต่อมาเวลา 17.40 น. นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. แถลงว่า ที่ประชุม กมธ.วิสามัญฯมีมติเสียงข้างมากให้แก้ไขมาตรา 2 กำหนดให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ 90 วัน นับแต่วันประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อถามว่าหากที่ประชุม สนช.ให้ความเห็นชอบตามเสียงข้างมาก จะมีผลให้การเลือกตั้งขยับออกไปจากกำหนดการเดิมเดือน พ.ย.2561 หรือไม่ นายทวีศักดิ์ตอบว่า ยอมรับว่าอาจต้องขยับออกไปบ้าง คิดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายปี 2561 หรือต้นปี 2562 ยืนยันว่าพิจารณาเฉพาะเรื่องเนื้อหาของกฎหมาย ไม่ได้พิจารณาเชื่อมโยงกับประเด็นทางการเมืองหรือความมั่นคง

ยืนกรานไม่มีใบสั่งจาก คสช.

นายทวีศักดิ์กล่าวต่อว่า ที่ประชุมพิจารณาอย่างรอบด้านและเป็นอิสระ ไม่ได้มีใบสั่งจาก คสช. กรรมาธิการฯเห็นว่าเนื่องจากมีคำสั่งของ คสช.ที่ 53/2560 ที่กำหนดกระบวนการทางธุรการของพรรค การเมืองที่จะเริ่มขึ้นในเดือน มี.ค. จึงเห็นว่าควรต้องแก้ไขร่างกฎหมายให้สอดคล้องกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับที่ประชุมจะเห็นชอบหรือไม่

“วิษณุ” โบ้ยทันทีเป็นเรื่องสภาฯ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องฟังเหตุผลของ สนช.คืออะไร ฟังขึ้นหรือไม่ ตอนนี้ยังตอบอะไรไม่ถูก เมื่อถามว่ากระแสจะตีกลับมาที่รัฐบาลหรือไม่ เพราะนายกฯเคยบอกว่าจะเลือกตั้งเดือน พ.ย.2561 นายวิษณุตอบว่า ไม่แน่ใจว่าจะกระทบโรดแม็ปเลือกตั้งหรือไม่ อย่าปักใจว่าจับไต๋ได้ว่ายืดเลือกตั้งแน่ ไม่แน่หรอก สื่ออย่าไปคิดเช่นนั้น ตอนนี้ยังตอบไม่ถูก รอฟังเขาก่อนว่าจะขยายเวลาเท่าไหร่ เพราะอะไร เขาอาจตอบได้ว่า ควรจะทำอย่างไร และรัฐบาลไม่รู้จะชี้แจงอย่างไร เพราะสภาเป็นผู้ยืดเวลา หากเหตุผลฟังไม่ขึ้นคงต้องติติง แต่ถ้าฟังขึ้นก็ต้องปล่อยกันไป ไม่มีการหารืออะไรมาที่รัฐบาล นายกฯยังเปรยกับตน ก็ตอบได้เพียงว่ายังไม่ทราบ เรื่องนี้เราคงใช้วิป สนช.เป็นช่องทางสื่อสาร

อุบอิบต้องขยับโรดแม็ปหรือไม่

เมื่อถามว่ารัฐบาลควรมีสัญญาณหรือดักคอสนช. ว่าไม่ควรเลื่อนโรดแม็ปหรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ขอไม่ตอบ เพราะไม่รู้ว่าควรหรือไม่ และจะทำอย่างไร หากทำคงไม่บอกให้สื่อรู้ เมื่อถามย้ำว่ามีกระแสโจมตีเรื่องดังกล่าว รัฐบาลจะเบรก สนช.หรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ตอบไม่ถูก เมื่อถามย้ำว่าโรดแม็ปเลือกตั้งยังจะมีในเดือน พ.ย. ตามที่นายกฯเคยบอกหรือไม่ นายวิษณุตอบว่า “มีโอกาสเป็นไปได้ ส่วนกรณีการแก้ไขเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการเลือก ส.ว.นั้น ยังไม่ได้พูดคุยกับใคร จะทำอย่างไร จะเปลี่ยนกลุ่มอะไรอย่างไร ตนไม่ทราบ ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย แต่ ตนไม่ได้เกี่ยวข้องแต่ต้องระวังกรอบในรัฐธรรมนูญ บทเฉพาะกาลเขียนไว้อย่างไร เพราะต่อไปถ้าบท เฉพาะกาลหมด ต้องไปสู่ระบบการเลือกแบบปกติ

“บิ๊กตู่” สั่งห้ามบิดเบือนทุกเรื่อง

ช่วงเช้าที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ร่วมกับตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยนายกฯกล่าวก่อนการประชุมว่า รัฐบาลพยายามทำงานให้เกิดความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่สุด ปัญหาที่สะสมมานานอาจทำให้บางรัฐวิสาหกิจมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ต้องอาศัยทุกคนช่วยกันแก้ปัญหา เป็นแนวทางของการปฏิรูปประเทศ หากไม่ทำตอนนี้ปัญหาต่างๆ อาจกลับไปสู่ที่เดิมได้ และเป็นภาระของรัฐบาลต่อไป ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นที่ยอมรับสู่ระดับสากล สังคมและประชาชน อย่าให้มีการบิดเบือนในทุกเรื่อง ขอทุกคนทำงานด้วยความระมัดระวัง

ยึดแนวทางไทยนิยมยั่งยืน

ต่อมาเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ว่า หลังจาก ครม.ลงพื้นที่พบประชาชนรับฟังปัญหาและข้อเสนอ รัฐบาลจะไม่ทิ้งข้อเสนอทุกข้อ ขอให้ภาคเอกชน ประชาชน เชื่อมั่นรัฐบาล และขอให้บุคลากรของรัฐทุกระดับ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน ต้องทำงานหนักและเน้นการทำงานอย่างมีส่วนร่วม ด้วยการสร้างความเข้าใจกับทุกภาคส่วน ข้าราชการต้องเข้าใจให้มากที่สุด ให้เกิดความยั่งยืนภายใต้แนวคิดไทยนิยมยั่งยืน การเดินทางไปเยี่ยมเยียนแต่ละครั้ง ต้องการให้นำข้อเสนอต่างๆ มาผลักดันในระดับรัฐบาล เพื่อจัดทำโครงการ หรือหาวิธีการที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชนที่ตรงจุด แต่ละพื้นที่มีจุดเด่น ปัญหาและโครงสร้างที่ต่างกัน ตนให้ความสำคัญกับการลงไปสัมผัส ได้เห็นและฟังเอง นำข้อเท็จจริงที่ได้มาขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ หวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาประชาชนให้ได้เร็วที่สุด

“บิ๊กป้อม” ย้ำจับตากลุ่มป่วนอยู่

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก และคณะกรรมการนโยบาย และแผนงานการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล ถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. เขียนเอกสารด้วยลายมือแจกให้ ครม. ว่ามีกลุ่มการเมืองและสื่อมวลชนที่มีปัญหาพยายามล้มรัฐบาล และ คสช.ว่า “ดูอยู่แล้ว” ต่อมาภายหลังการประชุมเมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่ากลุ่มการเมืองที่จ้องล้มรัฐบาลคือกลุ่มใด พล.อ.ประวิตรไม่ตอบคำถาม พร้อมกับเดินเลี่ยงกลุ่มผู้สื่อข่าวขึ้นรถออกจากทำเนียบรัฐบาลไปทันที

กระตุก คสช.ล้มเพราะหลง–เหลิง

นายประมวล เอมเปีย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ระบุว่ามีสื่อและนักการเมืองจ้องล้มรัฐบาล คสช.นั้น คงไม่มีใครสามารถล้ม คสช. ที่มีทั้งอำนาจรัฐ กฎหมาย และกองทัพได้ เข้ามาบริหารจะครบ 4 ปีแล้วสังคมไทยยังให้โอกาสทำงาน ยังเชื่อมั่นตามโรดแม็ป คิดว่านายกฯคงเข้าใจผิดในการทำหน้าที่สะท้อนความจริงของสื่อ และนัก การเมืองที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ การตรวจสอบในยุคนี้น้อยกว่าในยุคประชาธิปไตยมาก ขอแนะนำให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับไปทบทวนตัวเอง ที่ประกาศจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติ ขจัดความยากจน ชูการปฏิรูป แต่ผ่านมา 4 ปีทำผลงานใดเป็นรูปธรรมจับต้องได้บ้าง งานปราบทุจริตมีแต่จัดการกับนักการเมือง และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ในแม่น้ำ 5 สาย ในรัฐบาลตัวเองหรือคนใกล้ตัว กล้าจัดการหรือไม่ หากรัฐบาลจะล้มคงล้มเพราะสะดุดขาตัวเอง ที่หลงและเหลิงอำนาจจนลืมวัตถุประสงค์เข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศ วันนี้คิดแค่จะต่อยอดสืบทอดอำนาจอย่างไร

“วัฒนา” ขู่ลิ่วล้อระวังตายยกแก๊ง

ด้านนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เตรียมกวาดบ้าน” ตลอดเวลาที่อยู่ในอำนาจ นอกจากทำลายประชาธิปไตยแล้ว สิ่งที่ คสช.ทำให้ประเทศเสียหายใหญ่หลวง คือการทำลายหลักนิติธรรม ใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเครื่องมือจัดการฝ่ายตรงข้าม ทุกครั้งของการยึดอำนาจ จะมีเจ้าหน้าที่รัฐเสนอตัวรับใช้เผด็จการ แลกกับความก้าวหน้าในอาชีพเสมอ ที่เลวคือพวกที่เอาสิทธิและเสรีภาพประชาชนมาเป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อำนาจ ตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นคือการใช้กฎหมายคอมพิวเตอร์ดำเนินคดีกับนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งที่หากเห็นว่าได้รับความเสียหาย สามารถดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท ขอเตือนเจ้าหน้าที่รัฐที่กำลังรับใช้เผด็จการอย่างไม่ลืมหูลืมตา วันที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเมื่อไรประชาชนจะไม่ปล่อยท่านเพราะนอกจากเผด็จการแล้ว บรรดาลิ่วล้อที่รับใช้เผด็จการ เหยียบหัวประชาชนขึ้นสู่อำนาจ ก็มีความเลวไม่แพ้กัน กำลังจะถูกนาฬิกาทับตายยกแก๊งแล้ว อีกไม่นานเกินรอได้เจอกัน

ติงเอาใจนายยิ่งทำกองหนุนหด

ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ฝากถึงนายกฯ ว่าการดำเนินคดีกับนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพียงเพราะภรรยา พล.อ.ประยุทธ์ ถือกระเป๋าคนละยี่ห้อกับที่ระบุในเฟซบุ๊กของนายชาญวิทย์ จะไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลและครอบครัวของนายกฯ เพราะทำให้ประชาชนรู้สึกว่า พล.อ.ประยุทธ์ และครอบครัว เป็นบุคคลที่แตะต้องไม่ได้ ทั้งที่เป็นบุคคลสาธารณะ อีกทั้งสะท้อนถึงความกลัวของเผด็จการทหาร ที่กลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมความคิดของประชาชนได้ ถ้าการตั้งคำถามของนายชาญวิทย์ไม่จริง นายกฯ ก็ควรชี้แจง ไม่ใช่ไปดำเนินคดี อีกทั้งกรณีนี้ไม่เข้าข่ายองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่กลับใช้กฎหมายมาปิดปากผู้วิจารณ์รัฐบาล ขอเตือนว่าการเอาใจนายหรือเมียนาย โดยการบิดเบือนหลักกฎหมาย จะยิ่งทำให้กองหนุน พล.อ.ประยุทธ์ หดหายหนักกว่าเดิม

ชทพ.แนะสำรวจครอบครัวคนจน

อีกเรื่อง นายภราดร ปริศนานันทกุล อดีต ส.ส.อ่างทอง พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงนโยบายการแจกบัตรคนจนว่า จากที่ออกนโยบายดังกล่าวมา 3-4 เดือน ถือเป็นนโยบายที่ดี ที่ตั้งใจช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่สิ่งที่อยากฝากรัฐบาลนำไปแก้ไขคือ ตัวชี้วัดของผู้มีรายได้น้อย ความแตกต่างของคนชนบทและคนเมือง ที่อาจทำให้ค่าของเงินที่ได้รับแตกต่างกัน อย่างกรณีการแก้ไขปัญหาความยากจนของจีน ที่เคยใช้วิธีแจกเงินให้คน แต่ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้ประกาศนโยบายว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะไม่มีคนจน โดยส่งเจ้าหน้าที่ลงสำรวจและสัมภาษณ์ครอบครัวคนจน รวม 89 ล้านข้อมูล เพื่อนำมาแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ซึ่งไทยก็น่าจะนำมาศึกษาเป็นแนวทางที่ดีเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

พิพากษา “ธาริต” แจ้งทรัพย์สินเท็จ

ช่วงสายวันเดียวกัน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ร้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามคำร้องระบุว่า นายธาริตไม่แสดงรายการทรัพย์สิน ประกอบด้วย เงินฝากธนาคาร 4 บัญชี และเงินฝากธนาคารอีก 2 บัญชีที่อยู่ในความครอบครองของหลานนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา องค์คณะผู้พิพากษามีมติเป็นเอกฉันท์พิพากษาว่า นายธาริตจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ จึงห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ 3 เม.ย.2560 และมีความผิดตามมาตรา 119 ให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท แต่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000บาท และไม่ปรากฏว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี