เชี่ยวชาญด้านการกระจายอำนาจ
วิพากษ์การเมืองอย่างตรงไปตรงมา
เดินหน้าผลักดันอำนาจอธิปไตยให้เป็นของประชาชน
นั่นคือบทบาทของนักวิชาการอิสระ นายอัษฎางค์ ปาณิกบุตร อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้สะท้อนมุมคิดถึงอนาคตของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ท่ามกลางสถานการณ์การปรับ “ครม.ประยุทธ์ 5”
โดยขอย้อนกลับไปถึงต้นเหตุของการยึดอำนาจ ซึ่งเกิดจากไม่ชอบนักการเมือง เมื่อยึดอำนาจก็เดินหน้าทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสียของ เพื่อประโยชน์ของกลุ่มตนหรือเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
ขอตั้งข้อสังเกตว่าการยึดอำนาจมองประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ
โฉมหน้า ครม.ประยุทธ์ 1 จึงเต็มไปด้วยทหารเกือบทุกกระทรวง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการบริหารประเทศต้องเป็นไปตามความเชื่อของ คสช.
ผ่านไปประมาณ 3 ปี บริหารบ้านเมืองไม่ได้ ทำไม่เป็น ก็วิเคราะห์ข้อมูลเข้าข้างตัวเอง ทั้งจากผลสำรวจโพลที่ไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ หรือข้อมูลที่รายงานเข้ามาจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กระจายกำลังลงไปทุกหมู่บ้าน ผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.) ทั่วประเทศ
คสช.เชื่อว่าทุกอย่างเป็นบวก การแก้ปัญหาเศรษฐกิจประสบความสำเร็จ
แต่ในเนื้อแท้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อแสดงโดยเส้นกราฟตามหลักเศรษฐศาสตร์พบว่า ไม่ได้เงยหัวขึ้นและหัวทิ่มลงเป็นบางครั้งบางคราว บรรดานักวิชาการต่างวิพากษ์วิจารณ์เละเทะยิ่งกว่านี้การบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว เพราะไม่มีการตรวจสอบ ความจริงระบบการตรวจสอบสำคัญมาก ทั้งภาคประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน แต่ปรากฏว่าไม่มีเลยและยังมีความพยายามปิดปากนักวิชาการ ไม่ให้ตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล เขาจึงคุยว่ารัฐบาลนี้บริสุทธิ์
...
ถ้ารัฐบาลแน่จริงจะต้องให้ตรวจสอบ ถึงจะได้รู้ว่าเป็นคนดีจริงหรือไม่
อีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่ยอมรับมาตลอดคือความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งทำให้ประเทศไทยทรุด ทุกอย่างหยุดหมด ผมและนักเศรษฐศาสตร์นั่งวิเคราะห์ในภาพรวมพบว่า คำว่าความเป็น ประชาธิปไตยมีความสำคัญ เมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กลับยังคงมาตรา 44 แม้มีศัตรูทางการเมืองมีอาวุธ ก็ยังไม่ต้องใช้เลย แล้วติดอะไรถึงไม่ยกเลิก
มาถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าประชาธิปไตยจะกลับมาเมื่อไหร่ ถ้ามาแล้วอยู่ภายใต้กติกาที่ตั้งให้พวกคุณขึ้นมามีอำนาจ จะเป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่ และจะได้อะไรเมื่อเอาพวกตัวเองที่ไม่รู้เรื่องเข้ามาบริหารในหมู่ทหารด้วยกันเองก็เบื่อ ลองไปสัมภาษณ์ระดับ พล.อ.รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์
ถ้าพูดความจริงจะทราบข้อเท็จจริง รับรองฟ้าผ่าแน่
ถึงบอกว่าผมไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่รัฐบาลทำ โดยเฉพาะการคืนความเป็นประชาธิปไตย ตัวนี้สำคัญมากในการแก้ไขปัญหาของประเทศ
รวมถึงการปลดล็อกพรรคการเมือง หากไม่รีบปลดล็อกจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองง่อนแง่น แต่ คสช.ไม่กล้าปลดล็อก เพราะขณะนี้ประเทศไทยเป็นคลื่นใต้น้ำทั้งหมดและกลัวถูกนักการเมืองตรวจสอบจะมีแผลตามมาอีก
ทั้งที่เดดไลน์พรรคการเมืองที่ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง บางเรื่องจะครบตามกำหนดในวันที่ 5 ม.ค.61 เดดไลน์ล็อกที่สองเกี่ยวกับสมาชิกพรรคประจำเขตต้องเสร็จภายใน 5 เม.ย.61 ถึงกำหนดการเลือกตั้งใหญ่ในช่วงเดือน ส.ค.61
ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 กำหนดกรอบให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 10 ฉบับให้แล้วเสร็จ ในจำนวนนั้นมีกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ จะทำผิดจากมาตรานี้ไม่ได้
แต่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. และเป็นกูรูด้านกฎหมายของ คสช.ระบุว่าสามารถแก้ไขกฎหมายดังกล่าวได้ เป็นถึงประธาน กรธ.ได้อย่างไรไม่ดูรัฐธรรมนูญ
ขณะนี้จริงๆแล้ว คสช.เตรียมการเป็นรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งผู้มีอำนาจแท้จริงใน คสช.คือผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีการวางตัว ผบ.ทบ.ไว้ถึงปี 65
ตัว ผบ.ทบ.มีเอกภาพ แต่เสถียรภาพในกองทัพมีหรือไม่จากการแต่งตั้งโยกย้าย
การเมืองมันไม่แน่ อย่านึกว่า พล.อ.ประยุทธ์จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
แม้ คสช.มีพลังมากในการผลักดันนายกรัฐมนตรีคนนอก แต่พรรคการเมืองที่ตกปากรับคำกันไว้หลวมๆรวนเร เพราะไม่แน่ใจผลสำรวจคะแนนนิยมจริงเป็นอย่างไร
ผลโพลที่ออกมาคู่ต่อสู้ของ คสช.มีคะแนนนิยมเยอะกว่า ถ้าร่วมกันตั้งรัฐบาล นายกฯ คสช.คนแรกถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็รวนเร เพราะพรรคการเมืองที่ร่วมกับ คสช.ไม่รู้มีพลังจริงหรือไม่
ฉะนั้นขอยุให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นพร้อมกันทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งใหญ่ จะได้รู้ว่าฐานการเมืองของคุณแท้จริงแล้วยังอยู่หรือไม่ รู้เลยว่าใครมีของ รู้แน่ 90 เปอร์เซ็นต์ และยังรู้ด้วยว่ารายงานผลสำรวจคะแนนนิยมมันโกหกหรือเป็นจริง
การเลือกตั้งท้องถิ่นมันวัดได้ว่าใครมีของ เพื่อจะทาบทามเข้าร่วมพรรคทหาร
แต่การตั้งพรรคใหม่จะได้รับเลือกตั้งกี่คน คุ้มกับเงินที่ลงไปหรือไม่ กุนซือทางการเมืองของ คสช.ยังไม่เก่งพอ ตีประเด็นไม่ออก
เชื่อว่าถ้าคนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ถึงวันนั้นโกลาหลแน่
เพราะจะเจอเล่ห์เหลี่ยมของนักการเมือง โดนต่อรองจนเดินไม่ถูก
ที่ผ่านมารัฐบาลแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามคอร์รัปชัน การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจที่ไม่โปร่งใส แม้แต่ปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา
ขณะเดียวกัน ภาษีทรัพย์สินที่จะทำให้ได้รับความนิยมจากประชาชนกลับเลิก ทั้งที่จะเก็บรายได้เข้ารัฐ 3-4 แสนล้านบาท หรือการแก้ปัญหาบุกรุกที่ดินของรัฐก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ทำได้แค่แตะปัญหา ไม่ได้แก้ปัญหา เพราะติดที่ระบบพรรคพวก ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ แต่ยังยืนยันว่าแก้ปัญหาต่างๆของประเทศได้สำเร็จ ถ้าทำสำเร็จจริง คสช.ไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะลงอย่างไร
และพลังที่อยู่เบื้องหลังไม่รู้จะสนับสนุนหรือไม่ ฟางเส้นสุดท้ายเมื่อพวกเดียวกันลาออกจากตำแหน่ง (พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ลาออกจาก รมว.แรงงาน) กลายเป็นปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แต่ละคนที่มีรายชื่อเข้าเป็นรัฐมนตรีล้วนมือไม่ถึง ทำไมดูถูกสังคมอย่างนี้
หลังปรับ ครม.ก็เหลือเวลาบริหารประเทศตามโรดแม็ปแค่ 1 ปี ขอเสนอว่าจะต้องปล่อยอำนาจให้คนดีๆที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีจัดการได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ ไม่พะวงระบบพรรคพวก เพื่อให้แผนงานโครงการ ต่างๆและการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง บรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้
การปรับ ครม.เมื่อล้างทหารไป อย่างน้อยสามารถทำให้เห็นว่าระบบทหารเซเยสอย่างเดียว ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะแก้ปัญหาของประเทศ เพราะปัญหาของบ้านเมืองเยอะจริง แต่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงในการแก้ไข ถ้าไม่แก้ไข ประเทศก็เจ๊งหมด
ทีมข่าวการเมือง ถามว่า อยากเห็นรัฐบาล คสช.เดินหน้าประเทศจนถึงวันเลือกตั้งอย่างไร หลังการปรับ ครม. นายอัษฎางค์ บอกว่า ที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ เพราะมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง
และ พล.อ.ประยุทธ์ไม่รู้จักคำว่า ความ “ไม่เป็นธรรม” ในสังคมไทย ถ้าแก้ปัญหานี้ได้จะสามารถแก้ปัญหาอื่นๆตามมาอีก 5-6 ปัญหา ความไม่เป็นธรรมในสังคมทำได้ภายใน 6 เดือน อย่าบอกว่าทำไม่ทัน
และคุณรู้จักคำว่า “ยุติธรรม” หรือไม่ ถ้าไม่รู้อย่าเป็นต่อ เพราะบ้านเมืองยังมีคนเก่งซึ่งมีตัวเลือกอีกเยอะ
ฉะนั้นก่อนการเลือกตั้งตามโรดแม็ป รัฐบาลต้องแสดงให้เห็นอย่างจริงใจว่า...
...“ซื่อสัตย์–เสียสละ–ทำเพื่อราษฎร”
ถ้าไม่ทำตามข้อเสนอถือว่า “เสียของ”.
ทีมการเมือง