นายกรัฐมนตรี เปิดการประชุมอาเซียนอินเดีย เอ็กซ์โป แอนด์ ฟอรั่ม ครบรอบ 25 ปี ขออาเซียนผนึกกำลังสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่มั่นคง หวังอินเดียเจรจาร่วมข้อตกลงอาเซ็ป

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 3 ส.ค.60 ที่ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  (คสช.) เป็นประธานกล่าวเปิดงานอาเซียนอินเดีย เอ็กซ์โป แอนด์ ฟอรั่ม ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - อินเดีย โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า เป็นโอกาสสำคัญที่ภาครัฐ เอกชน ได้แลกเปลี่ยนความเห็น มุมมองทางด้านการค้า การท่องเที่ยวระหว่างกัน เพื่อนำไปสู่การสร้างความเชื่อมโยงการเติบโตด้านสังคมและเศรษฐกิจไปพร้อมกัน ดังนั้นจึงถึงเวลาที่ภูมิภาคเอเชียต้องผนึกกำลังเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพอย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า อินเดีย ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของเศรษฐกิจโลก หากทำงานร่วมกันกับอาเซียนจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ การรวมตัวกันทำให้เกิดประชาคมอาเซียน หรือ เออีซี ซึ่งจะดึงศักยภาพของแต่ละประเทศมาใช้อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดตลาดและฐานการผลิตสำคัญของโลก วันนี้อาเซียนมีประชากรรวมกัน 630 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 9 ของประชากรโลก และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก โดยมีมูลค่าการค้าการลงทุนที่ 2.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นอันดับ 4 ของโลก และเป็นแหล่งลงทุนมีมูลค่า 120 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ในวาระครบรอบ 25 ปี ระหว่างอาเซียนและอินเดีย ที่ควรจะเร่งรัดผลักดันเศรษฐกิจให้มากขึ้น เพื่อให้ทุกคนปรับตัวเข้าสู่โลกในยุคอนาคตได้อย่างรวดเร็วและกลมกลืน ขณะที่ไทยได้ปรับตัวเข้าสู่โมเดลใหม่ในรูปแบบไทยแลนด์ 4.0 หัวใจสำคัญคือการสร้างคนไทยให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ พร้อมรองรับความต้องการของตลาดโลก ในส่วนอินเดีย ถือว่ามีบทบาทเศรษฐกิจสำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 2.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นอันดับ 7 ของโลก โดยมีมูลการค้าการลงทุนในตลาดใหญ่มากกว่า 2 เท่าของอาเซียน มีประชากร 1,324 ล้านคน รองจากจีน ส่วนใหญ่เป็นผู้บริโภคชั้นกลาง ที่ผ่านมาอินเดียเผยศักยภาพของตัวเองสู่ประชาคมโลก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นศูนย์กลางการผลิต มุ่งเน้นการพัฒนาและการจ้างงานคนภายในประเทศ อีกตัวอย่างความสำเร็จอินเดีย คือการปฏิรูประบบภาษี ที่เริ่มต้นตั้งแต่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้อัตราภาษีสินค้าและบริการมีอัตราเดียวกันทั้งประเทศ ซึ่งการปรับเปลี่ยนเหล่านี้จะลดภาระต้นทุนผู้ประกอบการ เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ดึงดูดการลงทุนเป็นอย่างมาก

...

ทั้งนี้ได้จัดทำความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างอาเซียน-อินเดีย ตั้งแต่ปี 2010 ครอบคลุมการเปิดเสรีทางการค้า สินค้าบริการ รวมถึงการลงทุน นอกจากนั้นยังคงต้องเดินหน้าขยายความสัมพันธ์ต่อไป ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมโยงห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งการคมนาคมทางบก อากาศ และทางทะเล โดยปัจจัยสำคัญในการดึงศักยภาพระหว่างอินเดียและอาเซียน จำเป็นต้องเร่งพัฒนา เสริมสร้างปัจจัยพื้นฐาน 5 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาภาครัฐดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริหารราชการของภาครัฐ พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีให้เป็นภูมิภาคแห่งอนาคต โดยเร่งลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาเศรษฐกิจภาคการเกษตร ที่จะเป็นพื้นฐานรองรับการพัฒนา การพัฒนาไมโครเอสเอ็มอี ที่ถือเป็นกระดูกสันหลังของภูมิภาค และการพัฒนาคน ถือว่าสำคัญที่สุดที่จะต้องร่วมกันในการดำเนินการ โดยปัญหาหลักคือการลดความเหลื่อมล้ำ

สำหรับการประชุมครั้งนี้ ส่วนตัวอยากให้มีข้อสรุปว่าจะทำอย่างไรกับการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์ อินเดีย-อาเซียน ซึ่งมีกรอบเจรจาที่นำไปสู่ความสำเร็จ โดยต้องการให้มีการหารือกันในกรอบการเจรจาขนาดเล็ก เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทุกประเทศ เพราะการประชุมที่มีสมาชิกจำนวนมาก แน่นอนว่าต้องมีความเห็นที่แตกต่าง หากสามารถเจรจา และนำไปสู่การคลี่คลายปัญหา ก็จะนำไปสู่ข้อสรุป ก็คาดหวังว่าในเวทีหารือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ อาเซ็ป จะได้รับความร่วมมือจากอินเดีย และจะลุล่วงไปได้ด้วยดี ด้วยการสนับสนุนของอินเดีย.