กล้วยหิน เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของจังหวัดยะลา โดยมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณ 2 ฝั่งของแม่น้ำปัตตานี เนื่องจากทำเลทองแห่งนี้มีผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ มีความชื้นทั้งในดินและในอากาศสูงตลอดทั้งปี ทำให้ผลผลิตเป็นที่นิยมของผู้บริโภคและเป็นที่ต้องการของตลาด

แต่การปลูกกล้วยหิน มักจะเกิดการระบาดของโรคเหี่ยวกล้วยหิน ที่เกิดจากเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (Ralstonia solanacearum species complex) เข้าทำลายท่อน้ำท่ออาหาร ส่งผลให้ใบธง (ใบอ่อน) แสดงอาการเหี่ยว ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ต่อมาใบอื่นๆแสดงอาการเหี่ยวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เมื่อตัดดูลักษณะภายในลำต้นเทียมจะเห็นท่อน้ำท่ออาหารเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ปลีกล้วยแคระแกร็น และหากติดผล ผลจะมีลักษณะเล็ก ลีบ เนื้อภายในจะเป็นสีน้ำตาลหรือดำ ถ้าอาการรุนแรงจะยืนต้นตาย ไม่สามารถเก็บผลผลิตได้
เป็นโรคระบาดที่แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว สามารถแพร่กระจายไปกับหน่อกล้วยที่มาจากกอที่เป็นโรค ดิน น้ำ แมลง อุปกรณ์ทางการเกษตร ยานพาหนะ และเกษตรกร โดยเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้สามารถอาศัยอยู่ในดินได้เป็นเวลานาน

...

สำหรับการควบคุมโรคเพื่อลดพื้นที่การระบาดของโรค นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร แนะนำให้เกษตรกรทำลายต้นกล้วยที่เป็นโรค และเพิ่มพื้นที่การปลูกกล้วยหิน ด้วยการจัดทำแปลงกล้วยหินปลอดโรค ตามหลักวิชาการ 6 ขั้นตอน

1.เตรียมต้นพันธุ์ คัดเลือกต้นพันธุ์ดี มีความสมบูรณ์ ปลอดโรคและแมลงศัตรูพืช ซื้อจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ ห้ามนำต้นพันธุ์จากแปลงที่เป็นโรคมาปลูก

2.การเตรียมหลุมและบ่มดิน ขุดหลุมขนาด 50×50×50 เซนติเมตร โดยเว้นระยะห่างระหว่างหลุม 5 เมตร ใช้ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) กับปูนขาว อัตราส่วน 1:10 นำไปโรยให้ทั่วหลุมและรอบๆหลุม กลบหลุมให้แน่นแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ทิ้งไว้ 3 สัปดาห์ เพื่อฆ่าเชื้อในดิน

3.แช่หน่อพันธุ์ในชีวภัณฑ์ BS-DOA 24 ที่ละลายน้ำ 10 ลิตร นาน 30 นาที ขุดเอาดินที่กลบหลุมออก หากมีเศษปูนขาวเหลืออยู่ให้นำออกไปทิ้ง จากนั้นรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ 2 กิโลกรัม นำหน่อพันธุ์ที่แช่ชีวภัณฑ์แล้ว ปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบให้แน่นแล้วรดน้ำตามทันที

4. การใส่ปุ๋ย เดือนที่ 1, 4, 5 หลังปลูกใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ปริมาณ 100-150 กรัม/กอ เดือนที่ 2, 3, 6 หลังปลูกใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ปริมาณ 500 กรัม/กอ หลังจากต้นกล้วยแทงปลีใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ปริมาณ 1-2 กิโลกรัม/กอ

5.การดูแลรักษา กำจัดวัชพืชภายในแปลงอย่างสม่ำเสมอ ตัดแต่งกอกล้วยให้โปร่ง โดยไว้กอละ 3-5 ต้นต่อกอ และทางใบ 10-12 ใบต่อต้น รดด้วยชีวภัณฑ์ BS-DOA 24 (อัตรา 25 กรัม ผสมน้ำ 10 ลิตร) เดือนละ 1 ครั้ง หลังจากนั้น 5 วัน รดด้วยเชื้อราไตรโคเดอร์มา (อัตรา 100 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร) ทำความสะอาดอุปกรณ์และเครื่องมือทางการเกษตรทุกครั้งด้วยน้ำยาฟอกผ้าขาว (ไฮเตอร์)

6.การห่อปลีและตัดปลี เมื่อต้นกล้วยออกปลี ให้ใช้ถุงตาข่ายห่อ ปลีกล้วยทันที และเมื่อปลีกล้วยพัฒนาเป็นหวีกล้วยระยะตีนเต่าให้ตัด ปลีกล้วย ออกจากเครือ นอกจากนี้ การเก็บเกี่ยวหลังจากกล้วยแทงปลี 3-4 เดือน จึงสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิต ได้ โดยใช้พร้าที่จุ่มในน้ำยาฟอกผ้าขาว (ไฮเตอร์) ตัดลำต้นที่ความสูง 1/3 ของต้น เพื่อให้ต้นเอียงแล้วค่อยตัดเครือกล้วย เพื่อไม่ให้ผลผลิตช้ำ

...

รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยถึงผลการนำวิธีการนี้ไปแก้ไขปัญหาโรคเหี่ยวกล้วยหิน ใน อ.ยะหา จ.ยะลา พบว่า แปลงกล้วยหินได้รับการฟื้นฟูมีพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามลำดับ ในขณะเดียวกันพื้นที่การระบาดมีแนวโน้มลดลงและคงที่ และผลดำเนินการแก้ไขปัญหาโรคเหี่ยวกล้วยหินอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีแปลงกล้วยหินปลอดโรค 115 แปลง เกษตรกร 114 ราย พื้นที่ 131.5 ไร่ สามารถให้ผลผลิตที่ปลอดโรค จำหน่ายให้กับวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านเจาะตีเม๊าะ ต.ละแอ อ.ยะหา จ.ยะลา และยังเป็นแหล่งดูงานให้ผู้ที่สนใจการปลูกกล้วยหิน.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

คลิกอ่าน "ข่าวเกษตร" เพิ่มเติม