สั่งย้ายรอง ผอ.โรงเรียนดังในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ช่วยราชการชั่วคราว หลังถูก ป.ป.ช.บุกจับคาห้องทำงาน เรียกรับเงินแป๊ะเจี๊ยะ หลักหมื่น เพื่อแลกที่นั่งเข้าเรียนต่อชั้น ป.3 กลางเทอม พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวน "สพป.ขอนแก่น เขต 1" ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย 

จากกรณีที่ ป.ป.ช.จับกุม รองผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ในความผิดตามมาตรามาตรา 149 และมาตรา 157 หลังผู้ปกครองนักเรียนชั้น ป.3 ร้องเรียนว่า จะย้ายลูกเข้าเรียนที่โรงเรียนดังกล่าว เป็นการย้ายระหว่างเทอม ถูกรองผู้อำนวยการ เรียกรับเงินแป๊ะเจี๊ยะเป็นค่าย้าย จำนวน 20,000 บาท แต่ลูกอ่านออกเขียนได้ จึงลดเหลือ 10,000 บาท และต้องจ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น 

หลังรับเรื่องร้องเรียน ป.ป.ช.ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้ผู้ปกครองนำเงินเข้าไปจ่ายให้รองผู้อำนวยการในห้องทำงาน จากนั้นจึงเข้าจับกุมตัวได้พร้อมเงินสดจำนวน 10,000 บาท พร้อมแจ้งข้อหา "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ  สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 157 และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น

ความคืบหน้ากรณีดังกล่าวนั้น เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น (สพป.ขอนแก่น เขต 1) เพื่อขอพบกับ นายอารยันต์ แสงนิกุล ผอ.สพป.ขก.เขต 1 แต่ติดราชการในพื้นที่ต้องไปประเมินโรงเรียนต่างๆ ตามตารางงานราชการที่กำหนดไว้ 

...

ในเวลาต่อมา นายบุญเย็น โหว่สงคราม รอง ผอ.สพป.ขอนแก่น เขต 1 จึงได้พุดคุยกับสื่อมวลชน ว่า ภายหลังจากที่ทาง ป.ป.ช. ลงพื้นที่จับกุม รองผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น สพป.ขอนแก่นเขต 1 ก็ได้ตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริง ลงพื้นที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากทางโรงเรียนทันที โดยได้สืบข้อมูลก่อนนำมาประมวลผลว่าการสืบข้อเท็จจริงนั้นมีมูลหรือไม่ หากพบมีมูลก็จะตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาอีกขั้น โดยทุกขั้นตอนต้องเร็วที่สุด เนื่องจากเป็นเรื่องที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ และได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามขั้นตอนแล้ว

กระทั่งมีคำสั่งย้าย รอง ผอ.คนดังกล่าว มาประจำสำนักงานเขตการศึกษาเป็นการชั่วคราว เพื่อให้คณะกรรมการสืบสวนและสอบสวนข้อเท็จจริงเป็นไปด้วยความโปร่งใส และเกิดความเป็นธรรม ซึ่งที่ผ่านมาในส่วนของทางสำนักงานเขตฯ ได้มีการร่วมมือกันในการป้องกันและป้องปรามอย่างเข้มงวด กับทาง ป.ป.ช. และ สตง. และมีการจับกุมแต่ไม่เป็นข่าวมาหลายคน ทั้งผู้บริหารและครูในโรงเรียน ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย 

ในส่วนการลงโทษให้ออกหรือไล่ออกนั้น จะต้องรอผลการสอบสวนทางคดีอาญาควบคู่ไปกับการพิจารณาเอาผิดในเรื่องของวินัยด้วย โดยเบื้องต้นนั้นทราบว่า ป.ป.ช.ได้มีการแจ้งข้อหากับรอง ผอ.ร.ร.ที่ถูกกล่าวหารับเงินในคดีอาญาแล้ว แต่ได้ประกันตัวในวันที่ถูกแจ้งข้อหา ประกอบด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำ การอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 400,000 บาท หรือประหารชีวิต

และ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ.