เจ้าหน้าที่รัฐเป็นซะเอง ทุจริตโครงการ “คนละครึ่ง” และ“เราเที่ยวด้วยกัน” ที่แท้ฝีมือ 2 ครูหนุ่มสาวโรงเรียนมัธยม จ.ขอนแก่น ออกอุบายหลอกชาวบ้านให้โชว์บัตรประชาชน จ่ายเงินหัวละ 200 บาท แล้วขอถ่ายรูป ก่อนนำไปลงทะเบียนแอบใช้สิทธิ์เบิกเงินจากรัฐ ผู้ว่าฯเมืองหมอแคนฉุนขาด สั่งดำเนินคดีเฉียบทั้งวินัยและอาญา พร้อมให้สแกนพื้นที่ 26 อำเภอ มีใครเข้าไปเอี่ยวอีกบ้างจัดการให้หมด

เรื่องราวฉาวโฉ่การทุจริตในโครงการรัฐที่มีข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้องครั้งนี้ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 ก.พ. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 ถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด หลอกเอาบัตรประชาชนไปสวมสิทธิโครงการ “คนละครึ่ง” และโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ว่า ตำรวจที่เป็นคณะทำงานสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวมีหลักฐานส่วนใหญ่อยู่ในโทรศัพท์มือถือของบุคคลที่ถูกกล่าวหา เจ้าหน้าที่ฝ่ายอิเล็กทรอนิกส์ได้ตรวจสอบข้อมูลและปรินต์ออกมา ส่งให้ชุดสืบสวนเข้าตรวจค้นเก็บข้อมูลในจุดที่มีการซื้อซิมโทรศัพท์มือถือ ที่นำไปใช้ผูกกับชื่อของชาวบ้าน และจุดที่มีการเข้าใช้บริการ ทั้งร้านขายโทรศัพท์มือถือ ร้านอาหาร รีสอร์ต และโรงแรมต่างๆอีกหลายแห่ง เมื่อได้หลักฐานครบถ้วนจะแจ้งข้อหากับบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป

คดีนี้ สืบเนื่องจากช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา มีชาวบ้านโนนค้อ หมู่ 2 ต.โคกงาม อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น จำนวน 38 คน เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ้านฝาง ว่า ช่วงเดือน ต.ค.63 ได้มี นางบุหงา ดวงจันทร์ อายุ 38 ปี หรือครูฝน ครู ร.ร.บ้านโสกแต้ หมู่ 8 บ้านโสกแต้ ต.ป่าหวายนั่ง อ.บ้านฝาง เอาเงินมาแจกชาวบ้านคนละ 200 บาท บอกว่าเป็นเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” คนที่ไม่ได้ไปเที่ยวจะได้รับเงินหัวละ 200 บาท จากนั้นขอถ่ายรูปบัตรประชาชนของชาวบ้านไป ต่อมารัฐบาลให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “เราชนะ” ชาวบ้านได้ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วม ปรากฏว่าลงทะเบียนไม่ได้ พากันไปตรวจสอบข้อเท็จจริงกับธนาคารกรุงไทย พบว่าชื่อของชาวบ้านถูกนำไปผูกกับหมายเลขโทรศัพท์ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” และโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” แล้ว

...

ต่อมาชาวบ้านได้สอบถามกับครูฝนถึงสาเหตุและผู้ที่นำรูปบัตรประชาชนของชาวบ้านไปลงทะเบียนแอบใช้สิทธิ์ แต่ครูฝนตอบคำถามชาวบ้านไม่ได้ และได้ติดต่อว่าที่ ร.ต.ภูผาภูมิ โมรีย์ หรือ ดร.ภูผา อายุ 40 ปี ครูชำนาญการพิเศษ ร.ร.บ้านหนองผือราษฎร์ประสิทธิ์ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น มาร่วมเจรจา ดร.ภูผาอ้างจะให้เงินชดเชยกับชาวบ้านที่ถูกเอาชื่อไปผูกกับเบอร์โทรศัพท์รายละ 1,000-2,000 บาท แต่ชาวบ้านไม่ยินยอม ยืนยันจะให้ตำรวจจับกุมตัวครูทั้ง 2 คนมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ 5 ก.พ. ครูฝนเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.บ้านฝาง ให้ปากคำในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตำรวจได้เก็บหลักฐานในโทรศัพท์มือถือ ภายหลังสอบสวนนานกว่า 20 ชั่วโมง แจ้งข้อกล่าวหากับครูฝนในข้อหา “ร่วมกันทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพินัยกรรมหรือเอกสารใดของผู้อื่น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” หลังรับทราบข้อกล่าวหาได้ปล่อยตัวครูฝนกลับไป

จากนั้นเช้าวันที่ 6 ก.พ. ตำรวจขอหมายค้นจาก ศาลจังหวัดขอนแก่น ที่ จ26/2564 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เข้าค้นบ้านเลขที่ 111/127 หมู่บ้านศุภาลัยหมู่ 17 ต.บ้านเป็ด อ.เมืองขอนแก่น ของ ดร.ภูผา และตรวจค้นที่บ้านมารดา ดร.ภูผา ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ก่อนคุมตัว ดร.ภูผาไปสอบสวนที่ กก.3 บก.สส.ภ.4 มี พล.ต.ต.พุฒิพงษ์ มุสิกูล ผบก.ภ.จ.ขอนแก่น เดินทางมาสอบปากคำด้วยตัวเอง พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา “เอาไปเสีย หรือเก็บไว้ ซึ่งบัตรหรือใบรับรอง หรือใบแทนใบรับรองของผู้อื่น เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ, ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารใดของผู้อื่น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ” เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวน

นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นอภ.บ้านฝาง และ นอภ.หนองเรือ ถึงการทุจริตโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และโครงการ “คนละครึ่ง” ในพื้นที่ทั้ง 2 อำเภอแล้ว การกระทำความผิดดังกล่าวมีมูล ขอความร่วมมือประชาชนที่ได้รับความเสียหายทยอยเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนในพื้นที่ให้ครบทุกคน เพื่อจะเร่งสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับโครงการของรัฐบาลดังกล่าวมาดำเนินคดี ขณะที่จากข้อมูลยืนยันชัดเจนว่ามีผู้ร่วมขบวนการดังกล่าว 3-4 คน และมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องของคดีให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ส่วนการดำเนินการทางวินัยจังหวัดจะจัดการตามระเบียบและข้อบังคับอย่างเด็ดขาดทันที หากสาวไปถึงใคร หรือหน่วยงานใด ในพื้นที่ต้องเอาผิดทั้งหมด

“คดีนี้รัฐเป็นผู้เสียหายเพราะมีกลุ่มบุคคลกระทำผิดต่องบประมาณของรัฐ ได้มอบหมายให้คลังจังหวัดลงพื้นที่ประสานการทำงานร่วมกับฝ่ายปกครองและตำรวจ เพื่อติดตามขบวนการและแยกรายละเอียดให้ชัดเจน จนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิด และสรุปยอดรวมมูลค่าความเสียหายของรัฐทั้ง 2 โครงการ สิ่งสำคัญคือผู้เสียหายต้องให้ความร่วมมือให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และมอบเอกสารหลักฐานต่างๆให้เจ้าหน้าที่เพื่อรักษาสิทธิ์ของตน จะได้จับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีให้หมด พร้อมกันนี้สั่งให้ทั้ง 26 อำเภอ ตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียดว่ามีการกระทำผิดลักษณะเช่นเดียวกับทั้ง 2 โครงการนี้หรือไม่ ดังนั้น เมื่อมีกลุ่มบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำทุจริตอย่างชัดเจน จังหวัดจะร่วมมือกับทุกหน่วยงาน ตั้งคณะทำงานร่วมทุกฝ่ายดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม เด็ดขาด” นายสมศักดิ์กล่าว