ทหารเมียนมาปะทะกองกำลังชนกลุ่มน้อยต่อต้านรัฐบาล บริเวณแนวชายแดนในพื้นที่ตรงข้าม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน มีชาวบ้านหนีภัยอพยพข้ามมายังฝั่งไทยกว่า 1 พันคน จนท.ฝ่ายความมั่นคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง เตรียมความพร้อมรองรับหากได้รับผลกระทบ
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์สั่งการชายแดนไทย-เมียนมา จ.แม่ฮ่องสอน ได้รายงานเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ปะทะกัน ระหว่างทหารเมียนมากับกองกำลังชนกลุ่มน้อย/กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมา ที่บริเวณตามแนวชายแดนในพื้นที่ตรงข้าม ช่องทางเสาหิน หมู่บ้านเสาหิน ต.เสาหิน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน มีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา (ผภสม.) ที่มีความกังวลจากสถานการณ์ในพื้นที่ ได้เดินทางอพยพเข้ามายังฝั่งไทย จำนวน 1,123 คน ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว จ.แม่ฮ่องสอน จำนวน 2 พื้นที่ ดังนี้ 1) พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านห้วยปู ต.เสาหิน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เดินทางเข้ามาจำนวน 1,014 คน และ 2) พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านพะเข่ ต.แม่กี๊ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน เดินทางเข้ามา จำนวน 109 คน
โดยศูนย์สั่งการชายแดนไทย-เมียนมา จ.แม่ฮ่องสอน ประกอบด้วย กองกำลังนเรศร และฝ่ายปกครองจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ดำเนินการติตตามสถานการณ์ในฝั่งเมียนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย ด้านกองทัพอากาศได้จัดอากาศยานขึ้นบินลาดตระเวนแนวรบในพื้นที่แนวชายแดน ตั้งแต่ จ.ตาก-จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อป้องกันการรุกล้ำอธิปไตย
ทั้งนี้ ทางศูนย์สั่งการชายแดนฯ ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลความปลอดภัย และการให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม กับผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวทั้ง 2 แห่งแล้ว
...
สำหรับสถานการณ์ล่าสุด ชายแดนพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน จากการตรวจสอบเบื้องต้น การสู้รบดังกล่าวยังไม่เกิดผลกระทบต่อฝั่งไทยแต่อย่างใด ทางศูนย์สั่งการชายแดนไทย-เมียนมา จ.แม่ฮ่องสอน ได้แจ้งให้ทุกภาคส่วนทราบว่า สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นด้านตรงข้ามพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน นั้น ประเทศไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่าย และไม่สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการใช้พื้นที่ประเทศไทยเป็นพื้นที่สนับสนุนผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง ในการนี้ได้ขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ งดการเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนและทุกภาคส่วน ในการตรวจสอบข่าวสารและข้อเท็จจริง ก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ให้กับประชาชน เพราะข่าวสารที่ไม่เป็นความจริงนั้น จะสร้างความแตกตื่นและความหวาดกลัวให้กับประชาชนในพื้นที่