นายแพทย์สสจ.จันทบุรี แจงกรณีให้ยาผิด สาวท้องแก่มาตรวจครรภ์ที่รพ.แก่งหางแมว แล้วจนท.หยิบยาผิด จากน้ำตาลกลูโคส เป็นยาชา 2 ขวด ให้กินจนเกือบตาย ยอมรับเกิดความผิดพลาดขึ้นจริง ตอนนี้ทั้งแม่และทารกในครรภ์ปลอดภัย และจะไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีใดๆ

กรณีสาวท้องแก่อายุครรภ์ 37 สัปดาห์ร้อง ไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลชุมชนแก่งหางแมว จ.จันทบุรี ตามแพทย์นัดเพื่อเตรียมตัวคลอด แต่เจ้าหน้าที่ให้ยากินผิด จากน้ำตาลกลูโคส กลายเป็นยาชา 2 ขวด เกือบเอาชีวิตไม่รอด โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

ล่าสุดวันที่ 24 พ.ค. นายแพทย์ อภิรักษ์ พิศุทธ์อาภรณ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี และ นายแพทย์อภิสิทธิ์ ดุจวรรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแก่งหางแมว พร้อมคณะ ได้เดินทางไปโรงพยาบาลแก่งหางแมว เพื่อเยี่ยมอาการของนางสาวอรัญญา บำรุงกิจ อายุ 25 ปี ที่เป็นผู้เสียหาย พบว่าอาการดีขึ้นแล้ว โดยในเบื้องต้น มีการพูดคุยกับทีมแพทย์ว่าอาการกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงทั้งตัวผู้เสียหายเองและเด็กในครรภ์ที่จะคลอดในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้านี้ 

นายแพทย์อภิรักษ์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ที่โรงพยาบาลชุมชนแก่งหางแมว อ.แก่งหางแมว หลังจากเกิดเหตุ ทีมแพทย์ได้ดูแลตัวผู้เสียหายเป็นอย่างดี ขณะนี้ทางผู้เสียหายและเด็กในครรภ์ปลอดภัยดีแล้ว จากการพูดคุยตัวผู้เสียหายเองต้องการให้ทางทีมแพทย์ดูแลไปจนถึงหลังคลอด เพราะเป็นห่วงเด็กในครรภ์ว่าหลังคลอดมาแล้วจะมีผลกระทบอย่างไรหรือไม่ ส่วนในเรื่องของการเยียวยาทางโรงพยาบาล มีหลักประกันสุขภาพตามมาตรา 41 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งขณะนี้ได้จัดการให้แล้วและจะนำเข้าในที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ยอมรับว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นจริง จากการส่งมอบยาโดยที่ไม่มีการตรวจสอบให้แน่ชัด ก่อนที่จะส่งถึงมือคนไข้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นประสบการณ์ที่จะต้องมีการปรับปรุงและจัดระบบใหม่เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก ส่วนในทางคดีทางผู้เสียหายเข้าใจดีแล้วจะไม่มีการฟ้องร้อง

...

สำหรับเรื่องนี้ นางสาวอรัญญา บำรุงกิจ อายุ 25 ปี ซึ่งตั้งครรภ์ด้ 37 สัปดาห์ (ใกล้คลอด) ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า “มาเล่าให้ละเอียดค่ะ ตอนนี้เริ่มมีสติพอจะจำรายละเอียดได้แล้ว เราท้อง37+3 วีค วันจันทร์ที่ 22 พ.ค.2566 มีนัดเจาะเลือดตรวจเบาหวานตรวจต่างๆนาๆแล้วต้องกลืนน้ำตาล จนท.เค้าก็เรียกให้ไปรับขวดยาเหมือนขวดน้ำตาลมากิน เราก็ดูดไปละคือมันขมแล้วชาที่ปากที่คอ เลยหยุดกินแปปนึงในใจคิดว่าเราคงมีอะไรผิดปกติรึป่าวเค้าถึงเอายาขมๆมาให้กินคือไม่ได้คิดว่ามันอันตรายเพราะว่ามา รพ.ไม่ได้คิดว่าจะเจอความสะเพร่าแบบนี้ แล้วคือเค้าเรียกชื่อเราเข้าไปตรวจ เราบอกว่ายังกินไม่หมดค่ะมันขม แต่ไม่รู้ว่าเค้าได้ยินรึป่าว ด้วยความที่อยากกลับไวๆก็เลยกลั้นใจกินจนหมด 2 ขวดแล้วเดินไปบอกเค้าว่ากินหมดแล้ว แล้วพยาบาลก็เรียกเข้าห้องตรวจฟังเสียงหัวใจลูก เราเลยถามว่าหมอเปลี่ยนยาเหรอคะทำไมมันขม แต่เค้าตอบว่าไม่ได้เปลี่ยนนะกินน้ำตาลต้องหวานสิ เราเลยบอกว่าเรากินมันขมแล้วก็ชาปากชาคอ เค้าเลยให้เราไปหยิบขวดมาดู สรุปคือมันไม่ใช่น้ำตาล แต่มันคือยาชาที่เบิกมาเพื่อจะเอาไว้ฝังเข็มยาคุม แล้วเค้าให้นั่งรอ ประมาณ 10 นาที คือนั่งไม่ได้ตาจะปิดเวียนหัว พอเค้าพยุงไปนอนคือยามันออกฤทธิ์แรงมากปากพูดไม่ได้ตาลืมไม่ได้ แต่รู้สึกอยู่ตลอดแต่ขยับไม่ได้เลย


เริ่มเวียนหัวแบบบ้านหมุนราวๆ 20 นาทีได้ มือเท้ากระตุกตลอดความดันขึ้น จนต้องวัดคลื่นหัวใจพอซักพักเริ่มหายใจไม่ออกร่างกายเริ่มกระตุกรุนแรงขึ้นขาดอากาศไปแปปนึงตอนนั้นคือในตาที่หลับมันมืดดำไปเลยพยายามอ้าปากให้มีอากาศเข้าสติเริ่มหาย แต่มีอากาศเฮือกสุดท้ายที่หายใจเข้า มันคือลมหายใจสุดท้ายจริงๆในตอนนั้น พอได้หายใจเข้าอีกครั้งคือแบบน้ำตาไหลเลยกลัวตัวเองตาย กลัวลูกในท้องตาย ตอนนี้ยังตกใจไม่หายเลยมันคือเฮือกสุดท้ายจริงๆ”