ตำรวจไซเบอร์ตะครุบหนุ่มขายข้อมูลส่วนบุคคลให้แก๊งธุรกิจสีเทา กว่า 15 ล้านรายชื่อ หลังรับซื้อมาจากฐานลูกค้าอาหารเสริม นำไปปล่อยต่อให้มิจฉาชีพฟันรายได้งามเดือนละ 4 แสนบาท ชุดสืบสวนตามแกะรอยจากคนร้ายที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ก่อนขยายผลบุกล็อกตัวได้คาบ้าน สอบพบผู้ต้องหายังขายโปรแกรมซอฟต์แวร์ดักจับใบหน้าผ่านแอปธนาคารให้กับบัญชีม้า ไม่ต้องสแกนใบหน้ายืนยันตัวตนเวลาโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทต่อครั้ง อีกรายชุดสืบสวนจับเครือข่ายโรแมนซ์สแกมหลอกเหยื่อสูญกว่า 18 ล้านบาท

รวบหนุ่มแสบขายข้อมูลส่วนบุคคล 15 ล้านรายชื่อให้กับกลุ่มธุรกิจสีเทา เปิดเผยเวลา 13.30 น.วันที่ 24 ส.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ร่วมกับ พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2 พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แถลงจับกุมนายศุภากรณ์ หรือปลื้ม ฉวีศักดิ์ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 109 แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม. ผู้ต้องหาในความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตามหมายจับศาลจังหวัดภูเก็ตเลขที่ 451/2566 ลงวันที่ 21 ส.ค.2566 กรณีขายข้อมูลส่วนบุคคลให้บุคคลอื่น

พล.ต.ท.วรวัฒน์กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายผดุงเกียรติ หรือเบนซ์ ผู้ต้องหาขายข้อมูลส่วนบุคคลกว่า 2 ล้านรายชื่อ ทั้งข้อมูลรายชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และอีเมลให้กับกลุ่มธุรกิจสีเทา กลุ่มเว็บพนันออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพื่อจะนำข้อมูลดังกล่าวไปหลอกลวงประชาชน อันเป็นความผิดในการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ก่อนสอบสวนขยายผลทราบว่าเป็นกลุ่มของนายศุภากรณ์ เจ้าของเฟซบุ๊กชื่อ “งานไม่ทำ รำอย่างเดียว” ตรวจสอบพบหลักฐานการตกลงซื้อขายข้อมูลยกไดรฟ์ที่มีชื่อกว่า 2 ล้านรายชื่อ ขายไปในราคา 7,000 บาท กระทั่งวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมาชุดสืบสวนตามไปจับกุมนายศุภากรณ์ได้ที่บ้านย่านทวีวัฒนา กทม.

...

จากการสอบสวนพบว่านายศุภากรณ์เป็นคนกลางรับซื้อข้อมูลจากกลุ่มลูกค้าที่เคยซื้อขายอาหารเสริมยี่ห้อดังแบรนด์หนึ่ง และรับซื้อจากกลุ่มธุรกิจสีเทาจำนวนกว่า 15 ล้านรายชื่อ ผู้ต้องหานำมาแบ่งขายต่อให้กลุ่มธุรกิจสีเทา แยกเป็นแพ็กเกจในดาร์กเว็บ แต่ละแพ็กเกจจะแตกต่างกันออกไป มีรายได้ตกเดือนละ 4 แสนบาท จากการตรวจสอบข้อมูลรายชื่อที่ผู้ต้องหานำไปขายพบว่ามีการนำข้อมูลปลอมผสมไปด้วย รวมถึงนำข้อมูลมาวนขายซ้ำ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ต้องหาขายโปรแกรมซอฟต์แวร์ยิงข้อความและโปรแกรมซอฟต์แวร์ดักจับใบหน้าให้กลุ่มที่ต้องการซื้อขายบัญชีม้าไว้ใช้สำหรับสแกนใบหน้าก่อนโอนเงินเพื่อยืนยันตัวตนกรณีโอนเงินผ่านแอปธนาคารเกิน 5 หมื่นบาทต่อครั้ง ช่วยให้มิจฉาชีพไม่ต้องให้เหยื่อสแกนใบหน้า ก่อนโอนเงินเกิน 50,000 บาท

“ตำรวจจะขยายผลถึงต้นตอการซื้อขายรายชื่อที่ผู้ต้องหาซื้อมาและกลุ่มที่ซื้อต่อจากผู้ต้องหาไป แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่พบว่าผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับจ่าสิบโท เขมรัตน์ บุญช่วย หรือแฮกเกอร์ 9 เนียร์ ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการขายข้อมูลส่วนบุคคล 55 ล้านรายชื่อ ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลสาวไปถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป” ผบช.สอท.กล่าว

พล.ต.ท.วรวัฒน์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตำรวจกก.1 บก.สอท.5 เปิดปฏิบัติการ “ล่า รัก (ลัก) ลวง” กวาดล้างแก๊งหลอกรักออนไลน์ (Romance Scams) หลอกเหยื่อได้รับความเสียหายรวมกว่า 18,542,500 บาท ในพื้นที่ 7 จุด ใน จ.สุราษฎร์ธานี จ.ภูเก็ต และ กทม. ได้ผู้ต้องหา 2 คน คือนางยิน อายุ 38 ปี สัญชาติเมียนมา ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2672/2566 และนายชุน อายุ 37 ปี ชาวเมียนมา ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2676/2566 ในความผิด “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” จับกุมได้ที่บ้านหมู่ 4 ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต