เจ้าของเขียงหมูที่ อ.บ้านโป่ง เปิดใจ หมูเถื่อนทำให้ขายไม่ดี ยอดขายตกบวกกับภาวะเศรษฐกิจ ผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายหันไปซื้อหมูทางออนไลน์ที่ถูกกว่า 20% โดยไม่สนที่มาว่าปลอดภัยหรือไม่ ขณะที่ราคาหมูไม่ขยับมา 3 สัปดาห์แล้ว

กรณี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาตั้งคำถามผ่านโซเชียล ถึงเนื้อหมูเถื่อนจำนวน 161 ตู้ ที่กรมศุลกากรสามารถตรวจยึดได้ก่อนหน้านี้ แม้เวลาจะผ่านไปนานเดือนแล้ว แต่กระบวนการในการส่งมอบให้กับกรมปศุสัตว์ เพื่อนำไปทำลายกลับเป็นไปอย่างล่าช้า หากเกิดโรคระบาด ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

ต่อมาเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 66 ผู้สื่อข่าวลงพื้นบริเวณตลาดสดริมน้ำเขตเทศบาลเมืองบ้านโป่ง สอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดย น.ส.ภาวิดา บุญยินดี เจ้าของเขียงหมู “เจ๊เสียม” ที่เปิดขายมานานกว่า 40 ปี ยอมรับว่า ปัจจุบันยอดจำหน่ายหมูลดลง ส่วนหนึ่งมาจากกระแสข่าวการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน และอีกส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้จ่ายอย่างประหยัดมากขึ้น ก่อนหน้านี้ลูกค้าหลายราย หันไปซื้อหมูทางออนไลน์ เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่าหน้าเขียงถึงร้อยละ 20 โดยไม่ได้พิจารณาจากคุณภาพมาตรฐานของเนื้อหมูที่จะนำมาประกอบอาหาร

...

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัจจุบันราคาจำหน่ายเนื้อหมู ไม่มีการขยับราคามานานถึง 3 สัปดาห์แล้ว โดยราคาจำหน่ายหมูสามชั้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 190 บาท เนื้อหมูสันนอก-สันใน 160 บาท เนื้อหมูบด 200 บาท เนื้อสะโพก 160 บาท และเนื้อสันคอ 160 บาท ซึ่งในส่วนของสาเหตุที่ไม่มีการปรับราคานั้นตนก็ไม่ทราบเหมือนกัน

ด้าน น.ส.สุธิดา สุขวิเศษ ผู้บริโภคชาว อ.บ้านโป่ง เปิดเผยว่า ข่าวการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเนื้อหมูของตนมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยซื้อเนื้อหมูในตอนเช้า เพื่อไปประกอบอาหารมื้อเที่ยง แต่พบว่าหมูมีกลิ่นผิดปกติ โดยไม่ทราบสาเหตุ ภายหลังจึงหันมาเลือกซื้อหมูจากร้านที่มีตรารับรองมาตรฐาน เพื่อป้องกันปัญหาเนื้อหมูเถื่อนที่ไม่ได้คุณภาพ ในส่วนของการแก้ปัญหา ตนมองว่าภาครัฐต้องเข้มข้นและจริงจัง กับการกำจัดหมูเถื่อนออกจากระบบ เพราะไม่รู้ว่าหมูเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ถึงหมูปริมาณมากจะทำให้ราคาหมูตามท้องตลาดถูกลง แต่ถ้าแลกกับสุขภาพในระยะยาวก็คงจะไม่คุ้มกัน.