หนุ่มบุกเดี่ยวชิงทองออโรร่า ยันได้ทองไปแค่ 155 บาท อ้างหาเงินรักษาพ่อป่วยและใช้หนี้ยาเสพติด พบประวัติเป็นผู้ค้ารายย่อยใน จ.ชุมพร เผยขณะเข้าจับกุมหวิดปะทะกับชุดอรินทราชฯ หลังลั่นกระสุนใส่ 1 นัด เพื่อนไม่เห็นด้วยเลยมีปากเสียง ก่อนคิดได้ยอมมอบตัวทั้งแก๊งในสภาพทองเต็มตัวรวมน้ำหนัก 97 บาท ด้าน น.1 สั่งขยายผลติดตามทองของกลางที่เหลือ

กรณีคนร้ายบุกเดี่ยวใช้ปืนปล้นทองรูปพรรณที่ร้านทองออโร่ร่า ภายในห้างตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กทม. เมื่อค่ำวันที่ 5 ก.ย. โดยกวาดทองรูปพรรณไปกว่า 155 บาท และเงินสด 4 หมื่นบาท ต่อมาตำรวจชุดสืบสวน บก.สส.บช.น. กก.สส.บก.น.7 ชุดปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และฝ่ายสืบสวน สน.บางพลัด บุกรวบตัวผู้ก่อเหตุและเพื่อนรวม 6 คน ขณะหนีไปกบดานที่โรงแรมอลิซ โฮเต็ล ย่านงามวงศ์วาน สามารถยึดของกลางได้บางส่วน

ความคืบหน้า เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 9 ก.ย. พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.น. พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น. พล.ต.ต.บุญญฤทธิ์ รอดมา ผบก.น.7 พ.ต.อ.สุวัฒน์ เกิดแก้ว รอง บก.น.7 พ.ต.อ.ปัญญา กุลไทย ผกก.สส.บก.น.7 พ.ต.อ.วีรศักดิ์ กลั่นเกิด ผกก.สน.บางพลัด และตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางพลัด คุมตัวนายอัศวิน หรือเอก บุญเมือง อายุ 44 ปี ฉายา “เอก หัวลำโพง” ชาว อ.หลังสวน จ.ชุมพร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชันที่ จ.322/2562 ลงวันที่ 6 ก.ย. 62 ฐานชิงทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อหลบหนี เดินทางมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุ ท่ามกลางชาวบ้านทราบข่าวต่างมามุงดูจำนวนมาก จุดแรกเป็นจุดคนร้ายขี่รถ จยย.มาจอดไว้บนฟุตปาทหน้าห้าง จุดที่สองคนร้ายเดินเข้าประตูด้านข้างของห้างเข้าไปนั่งใน ร้านชาบู แล้วหยิบกระดาษใบสั่งอาหารออกมา 1 แผ่น เพื่อเอาไปเขียนข้อความขู่พนักงานในร้านทองที่อยู่ใกล้เคียงกัน จุดสุดท้ายภายในร้านทองออโรร่า คนร้ายใช้ปืนข่มขู่พนักงานเอาทองรูปพรรณใส่ถุงผ้าที่เตรียมมา จากนั้นเดินไปขึ้นรถ จยย.ที่จอดไว้หลบหนี ทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 30 นาที

...

เบื้องต้นนายอัศวิน ผู้ต้องหารับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุเพียงลำพัง โดยขี่รถ จยย.มาจอดไว้ที่หน้าห้างแล้วเดินเข้าไปใช้ปืนบีบีกันที่เตรียมมาก่อเหตุ หลังจากนั้นขี่รถ จยย.หลบหนีกลับที่พักย่านหัวลำโพง ถอดเสื้อผ้าชุดก่อเหตุทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน ส่วนรถ จยย.ขี่ไปจอดทิ้งที่ตลาดคลองเตย หนีไปเปิดห้องพักรายวันที่ย่านถนนเพชรบุรี แล้วย้ายไปพักอยู่ที่โรงแรมอลิซ โฮเต็ล กระทั่งถูกจับกุมพร้อมพวกอีก 5 คน

พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.น. เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาสารภาพก่อเหตุชิงทองรูปพรรณ น้ำหนักประมาณ 155 บาท ไปเพื่อเป็นค่ารักษาพ่อที่ป่วย รวมทั้งนำไปใช้หนี้ยาเสพติด วิธีที่นำไปใช้หนี้คือการให้พรรคพวกนำไปหลอมเป็นทองแท่งเพื่อขายต่อได้ง่ายขึ้น แต่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อเพราะผู้ต้องหาอาจนำทองรูปพรรณที่เหลือไปฝากไว้กับคนอื่น แล้วให้การเบี่ยงประเด็นก็เป็นได้ ส่วนจะนำไปใช้หนี้ยาเสพติดนั้นตำรวจให้น้ำหนักเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะหลังจับกุมกลุ่มเพื่อนผู้ต้องหามีสารเสพติดในร่างกาย ตรวจสอบประวัตินายอัศวินเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยในพื้นที่ จ.ชุมพร ยังไม่พบผู้เกี่ยวข้องเพิ่ม ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามทอง รูปพรรณที่หายไปอีกประมาณ 60 บาท

รายงานข่าวแจ้งว่า แนวทางการสืบสวนคดีนี้เริ่มจากชุดสืบสวนได้ทะเบียนรถเก๋ง โตโยต้า วีออส สีดำ เป็นรถยนต์ต้องสงสัย ที่คนร้ายเช่ามาขับดูลาดเลาในวันที่ 2 ก.ย. ปรากฏชื่อผู้เช่าคือ น.ส.พวงพยอม มะรุลี อายุ 31 ปี แฟนสาวของผู้ต้องหา ส่วนในวันก่อเหตุผู้ต้องหาใช้รถ จยย.เพื่อหลบหนีสะดวก ก่อนนำของกลางบางส่วนไปแลกยาบ้าที่ตลาดคลองเตย แล้วให้ลูกน้องนำไปขาย รวมทั้งนำไปแลกปืนโคลท์ 11 มม. และกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง

ขณะที่ พล.ต.ต.นิตินันท์กล่าวถึงเหตุการณ์ขณะเข้าจับกุมว่า หลังพบเบาะแสคนร้ายหลบหนีไปพักที่โรงแรมอลิซ โฮเต็ล ชั้น 4 ห้อง 1402 จึงประสานหน่วยอรินทราช 26 เข้าร่วมจับกุมตัว ทันทีที่นายอัศวินพร้อมพวกประกอบด้วย น.ส.พวงพยอม มะรุลี อายุ 31 ปี นายณัฐวุฒิ เดชพิชัย อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายศาลจังหวัดเพชรบุรี ข้อหาหลบหนีที่คุมขัง เหตุเกิดเดือน มิ.ย.62 นายวีระชาติ ขุมทอง อายุ 32 ปี น.ส.บุญยดา ขันพิจิต อายุ 20 ปี และนายเงียบ ฉาดนอก อายุ 43 ปี รู้ว่าตำรวจจะเข้าจับกุมตัวนายอัศวินและนายณัฐวุฒิจึงปีนระเบียงห้องไปหลบอยู่ที่ห้อง 1403 ประกาศขอสู้ตาย พร้อมระเบิดกระสุนใส่ 1 นัด จากนั้นนายณัฐวุฒิมีปากเสียงกับนายอัศวินเพราะไม่เห็นด้วยถ้าตำรวจสาดกระสุนสวนเข้ามาต้องตายทั้งคู่ ทำให้นายอัศวินเปลี่ยนใจมอบตัวกับตำรวจ ทั้งหมดอยู่ในสภาพใส่ทองเต็มตัว ก่อนยึดทองรูปพรรณของกลางได้ 70 บาท และขยายผลไปยึดทองของกลางจากที่พักของนายอัศวินอีก 27 บาท เบื้องต้นคุมตัวกลุ่มเพื่อนนายอัศวินทั้ง 5 คนแยกไปดำเนินคดีที่ สภ.เมืองนนทบุรี ท้องที่จับกุมเนื่องจากพบสารเสพติดในร่างกาย ส่วนนายอัศวินพนักงานสอบสวน สน.บางพลัด เตรียมคุมตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ในวันที่ 10 ก.ย.