คืบหน้าสามียิงเมียติดมือถือ ก้มหน้านอนยิ้มคุยกับจอดับคาบ้าน ล่าสุด ตร.อ่างทองนำตัวฝากขัง แจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา สะท้อนปัญหาภายในครอบครัวยุคโซเชียล ยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย...

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 28 ส.ค.2561 ที่ สภ.สีบัวทอง อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง พ.ต.อ. นิธินันท์ เต็มศิริวัฒน์ รองผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง เปิดเผยว่า คดี นายทศพร ข้องม่วง 38 ปี ผู้เป็นสามี ยิง นางอุสา มาศิริ ภรรยาวัย 34 ปี เสียชีวิตภายในห้องนอนบ้านพื้นที่ ตำบลวังน้ำเย็น อำเภอแสวงหา เมื่อวานที่ผ่านมานั้น

ความคืบหน้าล่าสุด หลังเกิดเหตุ นายทศพร ข้องม่วง สามี อยู่ในที่เกิดเหตุรอมอบตัว และวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัว นายทศพร ไปฝากขังที่ศาลแล้ว ส่วนที่เกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานได้เข้าเก็บหลักฐาน วัตถุพยาน และอาวุธปืนลูกซองสั้นในที่เกิดเหตุแล้ว ส่วนศพนางอุสา ภรรยา นั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้นำส่งไปสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ จังหวัดปทุมธานี เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต

ส่วนคดีความนั้นจะดำเนินคดีไปตามความยุติธรรมทั้ง 2 ฝ่าย โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาแก่ นายทศพร สามี ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยเหตุที่เป็นคดีขึ้นในครั้งนี้ เกิดจากปัญหาสังคมภายในครอบครัว ที่เกิดจากการใช้สื่อโซเชียล และการใช้โทรศัพท์ของภรรยา ตามที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ว่าเกิดปัญหาโต้เถียงแล้วใช้อาวุธปืนยิงภรรยาถึงแก่ความตาย

...

เหตุการณ์นี้จากการสอบสวนเบื้องต้น นายทศพร ให้การว่า ได้อยู่กินกับนางอุสา ผู้เสียชีวิต มีลูกด้วยกัน 4 คน โดยตนเองมีอาชีพคนทำงานเชือดหมู หารายได้เพื่อเลี้ยงครอบครัว และเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาได้ซื้อมือถือใหม่ให้ภรรยา จึงเป็นต้นเรื่องการเกิดปัญหาทะเลาะกันเรื่อยมา เนื่องจากภรรยาวันๆ เอาแต่เล่นโทรศัพท์ ไม่สนใจช่วยงาน จนตนเองเริ่มหวาดระแวงภรรยาว่า ภรรยากำลังมีคนใหม่ และมีปากเสียงกันเรื่อยมา

ยิ่งระยะหลังๆ จากมีปากเสียงกันมานานนับเดือน ตนเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวร่วมหลับนอนกับภรรยาเลย สอบถามก็โดนตะคอกด่าว่าอย่างรุนแรง มีปัญหามาตลอด และในช่วงหลังสังเกต เห็นภรรยาชอบนอนคุยโทรศัพท์และยิ้มพร้อมหัวเราะ และยิ้มอยู่ประจำ และก็ชอบตีลูก ทำให้ตนเองต้องเลี้ยงดูลูกและทำงานไปด้วย จนกระทั่งเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา มีปากเสียงด่าทอกันอย่างรุนแรง ทำให้ตนเองหยิบปืนยิงไปที่บริเวณกลางหลัง 1 นัด เมื่อเห็นภรรยาเสียชีวิตแล้วจึงรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.