ดีเอสไอ เตรียมทยอยเรียกพยานให้ปากคำเพิ่ม คดีแตงโม ช่วงเดือน ก.พ. มี "ท็อป-ไทด์-หนุ่ม" ด้วย ขณะที่ "เอกราช" โปรแกรมเมอร์ นำหลักฐาน-ข้อพิรุธ ให้เจ้าหน้าที่เพิ่ม

กรมสอบสวนคดีพิเศษ วันที่ 30 ม.ค. 68 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมนายเอกราช นามโภคิน โปรแกรมเมอร์ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และวิเคราะห์ระบบ GPS เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าทีมตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เพื่อให้ข้อมูลดีเอสไอ หลังรับเป็นเลขสืบสวนที่ 20/2568 โดยใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง

จากนั้น นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า วันนี้พยานบุคคลในคดีนี้คือ นายเอกราช นามโภคิน เข้ามาพบกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อนำรายงานการวิเคราะห์ทางด้านโปรแกรมเมอร์มาให้เห็นว่ามีการทุจริตอย่างไรในการตัดแต่งภาพ หรือการใช้เอกสารปลอมเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลเจ้าหน้าที่รัฐเคยแถลงข่าว พร้อมกับคนบนเรือที่เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ซึ่งตอนนี้ได้ส่งมอบให้กับดีเอสไอสมบูรณ์เรียบร้อย

...

ในส่วนข้อพิรุธที่ตนหมายถึงก่อนหน้านี้ คือภาพในช่วงเวลา 21.56 น. ในวันเกิดเหตุ ทีมของตนได้ทำการพิสูจน์ทราบว่าภาพที่แตงโมถ่ายคู่กับกระติกใกล้สะพานพระราม 8 เป็นภาพตัดต่อ และพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้ขาของ แซน วิศาพัช แทนขาของคุณแตงโม และใช้เบาะที่นั่งเป็นขาอีกข้างของคุณแตงโม ส่วนกระบวนการตรวจสอบภาพดังกล่าว เป็นภาพตัดต่อหรือไม่นั้น ทีมงานของตนได้นำคำให้การของแซน วิศาพัช ในรายการทีวีช่องต่างๆ ที่เคยบอกไว้ว่าถ่ายภาพของแตงโมเพียงภาพเดียว แต่ตนได้รับภาพมาจากทนายความท่านหนึ่ง ที่ส่งภาพมาให้กับตนทั้งหมด 3 ภาพ ทำให้เห็นได้ว่าสิ่งที่แซน วิศาพัช ให้ข้อมูลมานั้นเป็นเรื่องที่โกหก

โดยในแต่ละภาพปรากฏว่าในส่วนล่าง ช่วงคอลงไปไม่มีการขยับแต่ในส่วนหัวมีการขยับ ทำให้รู้ได้ว่ามีการตัดต่อภาพดังกล่าว และทุกภาพได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว รวมทั้ง ทราบด้วยว่าใครเป็นคนตัดต่อภาพดังกล่าว พร้อมกับแจ้งให้ดีเอสไอได้รับทราบแล้ว และจะนำผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบที่ขึ้นทะเบียนโดยหน่วยงานรัฐเข้ามาพิสูจน์หลักฐานทั้งหมดด้วยเช่นกัน เพื่อให้สมบูรณ์และมีหน่วยงานรับรองว่าเป็นภาพตัดต่อจริง

และหากภาพดังกล่าวเป็นภาพตัดต่อจริง ก็จะสามารถตอกย้ำได้ว่าการที่ตำรวจนำภาพนี้มาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 65 ที่ยืนยันว่าเป็นภาพจริง ก็ถือว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และหากภาพนี้พิสูจน์ได้ว่าเป็นภาพตัดต่อจริงก็จะสามารถยืนยันได้อีกว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่พบคุณแตงโมบนเรือ ทำให้สามารถพลิกคดีนี้ได้เลย 

ส่วนประเด็นอดีต สว. เกี่ยวข้องกับคดีแตงโม เพราะลูกชายอดีต สว. มีการไปยืมเรือมาในวันเกิดเหตุอีกลำ หรือเป็นเรือลำที่ 2 โดยอดีต สว. มีความสนิทกับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองสามารถวิ่งเต้นโยกย้ายตำรวจได้ เชื่อว่าคดีมีใบสั่งในยุคนั้น แต่เชื่อว่าอีกไม่นานความจริงจะปรากฏ

ด้าน นายเอกราช กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เป็นครั้งที่ 3 นำข้อสังเกตและข้อพิรุธ หลักฐานการวิเคราะห์ GPS ทุกจุด ซึ่งข้อมูลทั้งรูปและคลิปวิดีโอเป็นไฟล์มีเดีย 1 TB ส่งให้ดีเอสไอไปตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยกระดุมเม็ดแรก คือ GPS เม็ดถัดไปเป็นข้อมูลที่บุคคลบนเรือ ออกมาแถลงต่อสื่อนำมาประกอบกับ GPS ทั้งหมดก็จะเห็นข้อพิรุธ เช่น เรื่องเวลาและรูปว่าตกแต่งหรือไม่

ส่วนภาพที่เผยแพร่ในขณะนี้ว่ามีการตัดต่อหรือไม่นั้น ตนเป็นคนนำมาทำให้ดูเอง ส่งให้ อ.ปานเทพ พงพัวษ์พันธ์ นำเผยแพร่ โดยคนทำรีทัชจะเข้าใจเรื่องแสงและเงา การแต่งรูปทำได้หลายแบบ มีการถมดำ ปรับความมืด รวมทั้ง มีการดึงภาพที่มีความละเอียดก็ส่งมอบให้ดีเอสไอ มีประมาณ 10-20 รูปที่จะต้องพิสูจน์ เช่น ขาและมือคุณแตงโมในภาพเป็นอย่างไร ซึ่งปกติมือแตงโมจะเรียวและมีเล็บ แต่ในรูปมือขวามีลักษณะคนละแบบ นิ้วโป้งก็หัก มือซ้ายก็หายไปเลยปรับจนมองรายละเอียดไม่ออก

จากการสันนิษฐานหากจะตกแต่งภาพดังกล่าวจะต้องยกมาทั้งชุด คือต้องมี 2 คนแน่นอน เพราะองศาต่างๆ ไม่สามารถนำรูปคนมาประกบ 2 คนได้ ฉะนั้น ภาพจะต้องมี 2 คนนั่งอยู่บนเรือเป็นกระติก ส่วนอีกคนไม่รู้ว่าใคร แต่ไม่ใช่คุณแตงโมเพราะมีหลักฐานปรากฏ เชื่อว่าดีเอสไอจะสามารถพิสูจน์ได้ทุกอย่าง ส่วนเรือลำที่ 2 มีหลักฐานบ่งชี้ให้ทางดีเอสไอตรวจสอบแต่เชื่อว่ามีคำตอบในเรื่องดังกล่าวแน่นอน

...

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดีเอสไอ จะดำเนินการเรียกพยานเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมรวมทั้งหมด 5 บุคคล 1 นิติบุคคล ดังนี้คือ วันที่ 3 ก.พ. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์, วันที่ 11 ก.พ. กรรมการ ผู้จัดการบริษัท ดีคืนดีวันจำกัด (นิติบุคคล) และนายภูดิท กำเนิดพลอย หรือ หนุ่ม กรรชัย ซึ่งจะเป็นการเรียกพบแบบส่วนตัว, วันที่ 13 ก.พ. นายเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ และ นายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ และ วันที่ 18 ก.พ. จะเป็นคิว พ.ต.ต.ปภิณวิช รอดบางยาง