“ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” งานเข้าอีก แม่เด็กหญิงวัย 9 ขวบ บุกแจ้งความ เอาผิดพรากผู้เยาว์และอนาจารลูก หลังนำลูกสาวไปอยู่บ้านพักเด็กราชวิถี อ้างมีเพื่อนบ้านร้องเรียนทำร้ายเด็ก ก่อนถ่ายรูปโป๊เปลือยโชว์แผลส่งไปให้สื่อ ทั้งที่แค่ตีลูกตามประสา ด้าน “ซ้อลักษณ์” โร่พบผู้บริหารมหาวิทยาลัยพิษณุโลกขอคำชี้แจงเรื่องการซื้อขายวุฒิปริญญาบัตร พร้อมเอ่ยปากขอโทษที่ทำให้เสียชื่อเสียง เชื่อมหา’ลัยไม่เกี่ยวข้องด้วย ก่อนทำเรื่องลาออกจากนักศึกษาและรับเงินค่าเล่าเรียน คืน 130,000 บาท

กรณี “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” หรือ น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง ถูก “ซ้อลักษณ์” หรือ น.ส.วิไลลักษณ์ ไชยชาญ นักธุรกิจแจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.เมืองสกลนคร กล่าวหา “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” หลอกลวงซื้อขายวุฒิปริญญาตรีมหาวิทยาลัยพิษณุโลก นอกจากนี้ยังแอบอ้างซื้อขายตำแหน่งทางการเมือง ต่อมา น.ส.ชลิดาชี้แจงว่าไม่ใช่เรื่องจริง ขณะที่นักการเมืองที่ถูกพาดพิงก็ออกมาปฏิเสธ ส่วนผู้บริหารมหาวิทยาลัยพิษณุโลกแถลงยืนยันไม่มีการซื้อขายวุฒิการศึกษา ด้านกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน

ความคืบหน้าคดีซื้อขายวุฒิการศึกษา เวลา 09.30 น. วันที่ 10 ก.ค. น.ส.วิไลลักษณ์ ไชยชาญ หรือ “ซ้อลักษณ์” และว่าที่ ร.ต.รภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เดินทางเข้าพบผู้บริหารมหาวิทยาลัยพิษณุโลก ที่ห้องประชุมสภามหาวิทยาลัยพิษณุโลก อ.เมืองพิษณุโลก เพื่อยื่นหนังสือขอให้มหาวิทยาลัยตรวจสอบว่าการซื้อ ขายวุฒิการศึกษาทำเป็นขบวนการหรือไม่ มีนายมานพ เกตุเมฆ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัย คณะผู้บริหารและกรรมการสภามหาวิทยาลัยร่วมชี้แจง ทั้งนี้ว่าที่ ร.ต.รภัสสิทธิ์กล่าวว่า พานักศึกษาเดินทางมามหาวิทยาลัยครั้งแรกเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องการซื้อขายวุฒิการศึกษามีบุคคลอื่นนอกจากอาจารย์ 1 ท่าน ร่วมอีกหรือไม่อย่างไร อยากให้มหาวิทยาลัยตรวจสอบชี้แจง ทั้งหมดจะเป็นผลดีกับมหาวิทยาลัยเอง

...

ด้าน “ซ้อลักษณ์” ผู้เสียหายกล่าวว่า ตนหลงเชื่อให้มาเป็นนักศึกษาเพื่อจะได้วุฒิปริญญาตรีและได้รับการชักชวนว่าจะได้ค่าตำแหน่ง 4-5 แสนบาทต่อเดือนจากคนในมูลนิธิฯ เบื้องต้นได้จ่ายเงินผ่อน 3 งวด งวดละ 50,000 บาท 2 ครั้ง และครั้งสุดท้าย 30,000 บาท แล้วบอกจะได้วุฒิเลยในเดือน ก.พ.67 เคยไปแย้งว่าผิดกฎหมาย ผู้ชักชวนอ้างว่าเคลียร์กับมหาวิทยาลัยได้ ไม่มีปัญหา ตนเป็นเหยื่อในเรื่องนี้

ขณะที่นายมานพ เกตุเมฆ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยพิษณุโลก ชี้แจงว่า นักศึกษารายนี้สมัครเรียนตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง มีการส่งเอกสารหลักฐานเข้ามาครบถ้วน พร้อมเงินค่าสมัครเรียน แรกเข้า 1,500 บาทและค่าเทอม 130,000 บาท มหาวิทยาลัยรับนักศึกษาตามขั้นตอน 3 คำ คือมา-อยู่-ไป นักศึกษามาสมัครเรียน คณะกรรมการจะประกาศรายชื่อเสร็จนำชื่อเข้าสู่ระบบนายทะเบียน เมื่อมาอยู่กับเรา จากนั้นส่งชื่อไปที่คณบดีในแต่ละคณะ เมื่อรับหมดแล้วจะแยกไปตามหมวดการเรียนการสอนทางคณะนั้นๆ นักศึกษาต้องเรียนเป็นเวลา 3 ปี 3 ปีครึ่ง หรือ 4 ปี แล้วแต่หลักสูตร

รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัย พิษณุโลก กล่าวอีกว่า หลังเรียนจบการศึกษาแล้วคณะกรรมการจะมาพิจารณาหลักสูตรว่าถูกต้องหรือไม่ ตรวจสอบมีชื่อตั้งแต่แรกเข้าจริง จบจริง แล้วจะส่งชื่อไปที่ผู้บริหารวิชาการว่ารายชื่อเข้ามาตอนแรกรับกับรายชื่อจบตรงกันหรือไม่ จะมีการตรวจรายชื่อว่าเข้ามาจริง ถ้าไม่มีการเรียนก็ไม่จบการศึกษา สุดท้ายนักศึกษาที่จบจะเสนอคณะสภามหาวิทยาลัยเพื่อให้จบการศึกษาอีกครั้ง นักศึกษาที่จบแล้วจะต้องมีอาชีพ มีงานทำ มีความซื่อสัตย์ พอเพียง ไม่สร้างความขัดแย้ง สร้างศัตรู และเป็นคนดีของสังคม

ทั้งนี้ ภายหลังรับฟังการชี้แจงจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยพิษณุโลก ซ้อลักษณ์และทีมทนายต่างเข้าใจและเชื่อว่ามหาวิทยาลัยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายวุฒิการศึกษาครั้งนี้ เป็นเพียงแค่ตัวบุคคลเท่านั้นพร้อมกับกล่าวขอโทษมหาวิทยาลัยที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ขณะที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้สอบถามซ้อลักษณ์ว่ายังต้องการศึกษาต่อหรือไม่ มหาวิทยาลัยยินดีให้ศึกษาต่อได้ แต่ถ้าจะลาออกก็ยินดีจะคืนเงินค่าเรียน 130,000 บาทให้ทันที ฝ่ายซ้อลักษณ์แจ้งความจำนงว่าจะไม่ขอเรียนต่อ มหาวิทยาลัยบอกให้ซ้อลักษณ์ทำหนังสือขอลาออก พร้อมเซ็นเอกสารรับเงินค่าเล่าเรียนคืนเป็นหลักฐาน จากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของมหาวิทยาลัยโอนเงินคืนให้ซ้อลักษณ์ทันที ทำให้ซ้อลักษณ์ดีใจบอกว่าจะนำเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและจ่ายค่าเทอมลูกต่อไป

ที่ สน.คันนายาว สายวันเดียวกัน น.ส.ศรินทิพย์ ศรีภักดิ์ เวนไรท์ เจ้าของเพจ “นิกกี้ขยี้ข่าว” พา น.ส.แก้ว (นามสมมติ) อายุ 27 ปี และ ด.ญ.เอ๋ (นามสมมติ) อายุ 9 ขวบ ลูกสาว น.ส.แก้วเข้าพบ พ.ต.ท.ภูริวัจน์ นิเทศวิทยานุกูล สว. (สอบสวน) สน.คันนายาว เพื่อแจ้งความดำเนินคดี น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” ข้อหาพรากผู้เยาว์และกระทำอนาจาร ทั้งนี้แม่เด็กเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค.67 ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง นำเจ้าหน้าที่พม.มาที่บ้านพักในเคหะชุมชนย่านคู้บอน อ้างว่าได้รับร้องเรียนจากเพื่อนบ้านว่าตนทำร้ายลูก มาช่วยเหลือ พูดจาหว่านล้อมชวนให้ลูกไปอยู่บ้านพักเด็กราชวิถี บอกว่าไปชั่วคราวเพียงวันเดียวก็จะได้กลับบ้าน

น.ส.แก้วกล่าวอีกว่า จากนั้นได้เดินทางไปหาลูกสอบถามลูกว่าเป็นอย่างไรบ้าง ลูกบอกว่าถูกรุ่นพี่ในบ้านพักเด็กราชวิถีกลั่นแกล้ง ถีบ ตบหน้า จับหัวโขกพื้น ตนสงสัยว่าทำไมลูกต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เพราะอยู่ที่บ้านตนแค่ตีลูกเท่านั้น พวกนี้เป็นใครถึงมาทำกับลูกตนแบบนี้ พยายามติดต่อเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กราชวิถีอยู่ราว 3 อาทิตย์ รับตัวลูกกลับมาได้โดยให้เซ็นยินยอมว่าจะไม่ตีลูกอีก ส่วนต้นอ้อเป็นหนึ่ง ทราบว่าหลังจากนำลูกของตนเข้าไปอยู่ในบ้านพักเด็กราชวิถีแล้วก็ไม่เคยไปเยี่ยมลูกเลย อยากจะบอกว่าการจะช่วยเหลือใครตามที่ร้องเรียน ขอให้ตรวจสอบก่อนว่าจริงหรือไม่ ไม่ใช่แค่ฟังคำพูดจากเพื่อนบ้านฝ่ายเดียว มันทำให้ลูกต้องถูกพลัดพรากไปจากแม่

ด้าน น.ส.ศรินทิพย์ เจ้าของเพจ “นิกกี้ขยี้ข่าว” กล่าวว่า ตนในฐานะเคยถูกกระทำจากต้นอ้อ เป็นหนึ่งมาก่อน เข้าใจความรู้สึกของผู้เสียหายที่เข้ามาปรึกษาว่า ถูกกระทำในลักษณะนี้ ทั้งที่ตีลูกเพียงครั้งเดียว แล้วการดูแลก็ไม่ได้ดูแลอย่างจริงจัง เบื้องต้นแจ้งดำเนินคดีข้อหาพรากผู้เยาว์และอนาจาร เนื่องจากพบว่ามีการถ่ายรูปเด็กลักษณะโป๊เปลือยอ้างว่าดูร่องรอยบาดแผลและส่งไปให้กลุ่มผู้สื่อข่าว อยากออกมากระชากหน้ากากของนางฟ้าคนนี้ว่าแท้จริงแล้วเป็นนางฟ้าจริงหรือไม่ อยากแจ้งกับคนที่เคยถูกต้นอ้อเป็นหนึ่งกระทำลักษณะเช่นนี้ ขอให้มาร้องเรียน กับตนได้

...

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่