ศาลพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา “เมธา-บอนนี่ ชลิงสุข” ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านอาหารญี่ปุ่นดารุมะซูชิ ทั้งฉ้อโกงประชาชนร่วมกันฟอกเงิน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เห็นว่า ผู้ต้องหาดำเนินกิจการจริง แต่บริหารผิดพลาด ขาดเจตนาฉ้อโกง สั่งปล่อยตัวกลับบ้านทันที เจ้าตัวถึงกับร่ำไห้ โอดถูกจองจำมา 1 ปี 8 เดือน ขอยังไม่ให้ สัมภาษณ์
ที่ศาลอาญา เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ก.พ. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท ดารุมะ ซูชิ จำกัด และนายเมธา หรือบอนนี่ ชลิงสุข อายุ 41 ปี กรรมการผู้มีอำนาจ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฟอกเงิน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำเลยถูกขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมาตลอด วันนี้เบิกตัวผู้ต้องหาออกมาจากเรือนจำมาฟังคำพิพากษา
อัยการฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 18 พ.ค.64 วันที่ 18 มิ.ย.65 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงประกาศขายอาหารบุฟเฟต์ญี่ปุ่นโปรโมชันต่างๆ รวมทั้งจำหน่ายคูปองใบละ 199 บาท 250 บาท 299 บาท และ 399 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน Daruma sushi โอนเงินผ่านบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1 ต่อมาได้ปิดร้าน แต่ความจริงแล้วพวกจำเลยมิได้มีเจตนาตั้งแต่ต้นที่จะประกอบกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นดังกล่าว เป็นเพียงกลอุบายหลอกลวง จนมีผู้เสียหาย 988 ราย หลงเชื่อซื้อคูปอง รวมมูลค่า 150 ล้านบาท เป็นความผิด 988 กรรมขอให้เรียงกระทงลงโทษ
นอกจากนี้จำเลยยังหลอกลวงประกาศขายแฟรนไชส์ให้ผู้สนใจร่วมลงทุนราคาตั้งแต่ 2-2.5 ล้านบาทต่อสาขา มีผู้เสียหาย 11 ราย หลงเชื่อซื้อแฟรนไชส์ เป็นความผิด 11 กรรม และระหว่างวันที่ 18 พ.ค.64 วันที่ 18 มิ.ย.65 ยังร่วมกันฟอกเงินโดยรับโอนเงินจากการกระทำผิด 150.7 ล้านบาทเศษเข้าบัญชีธนาคารตนเองเพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มา แล้วโอนเข้าบัญชีธนาคารอื่นหลายครั้งหลายหน โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิด และคืนเงินหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายแต่ละรายตามความเสียหายรวม 42.3 ล้านบาทเศษด้วย
...
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันเปิดร้านอาหารดารุมะซูชิจำหน่ายอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟต์ มีการขายคูปองอาหารตามโปรโมชันตามเพจเฟซบุ๊กและแอปพลิเคชันดารุมะซูชิ ร่วมทั้งเปิดขายแฟรนไชส์ให้ผู้สนใจร่วมลงทุน จำเลยที่ 2 เป็นผู้บริหารแล้วจะแบ่งผลกำไรให้ตามตกลง ขณะเกิดเหตุมีร้านอาหารดารุมะซูชิทั้ง 27 สาขา ต่อมาวันที่ 16 มิ.ย.65 ทางร้านประกาศปิดปรับปรุงกิจการชั่วคราว เนื่องจากขาดสภาพคล่องทำให้ผู้ซื้อคูปองไม่สามารถมาใช้บริการ ได้รับความเสียหายจำนวนมาก
ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยทั้ง 2 มีเจตนาทุจริตฉ้อโกงผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้ง 2 เปิดร้านอาหารมาตั้งแต่ปี 2559 มีผู้บริโภคสนใจจำนวนมากทำให้สามารถขยายกิจการได้อีกหลายสาขา มีการขายคูปองทำโปรโมชัน ผู้ใช้บริการยังนำคูปองมาใช้บริการได้ตามปกติ จนกระทั่งเกิดการบริหารงานและการคาดการณ์ผิดพลาดของจำเลยที่ 2 ประกอบกับเกิดเหตุสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาปลาแซลมอนวัตถุดิบหลักราคาสูงขึ้น ทำให้จำเลยที่ 2 ขาดสภาพคล่องไม่สามารถชำระค่าปลาแซลมอนเลยบริหารกิจการต่อไปไม่ได้ จำเลยทั้ง 2 ไม่ได้มีเจตนาทุจริตถนัดชัดเจน แม้การตั้งราคาโปรโมชัน 199 บาทจะต่ำกว่าราคาทุนของราคาปลาแซลมอนที่ขายกิโลกรัมละ 300 บาท แต่เห็นว่าเป็นการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อแข่งขันดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการจำนวนมาก
อีกทั้งการขายแฟรนไชส์ให้คนร่วมลงทุน เป็นการตกลงทำสัญญาแบ่งผลกำไรให้ตามสัดส่วน จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้บริหารจัดการ จำเลยที่ 2 ไม่ได้บังคับซื้อขายแฟรนไชส์ เป็นความพอใจระหว่างกัน ทั้งนี้ จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้กีดกันหากผู้ซื้อแฟรนไชส์จะเข้ามาร่วมบริหารงาน ทุกวันจะมีระบบส่งอีเมลแจ้งรายละเอียดรายรับรายจ่ายให้ทราบ และทุกร้านจะติดตั้งกล้องวงจรปิดให้สามารถดูออนไลน์ได้ตลอดเวลา ไม่ได้ปิดบังข้อมูล ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 2 เจตนาหลอกลวงด้วยข้อความอันเป็นเท็จ
ปัญหาประการต่อมา จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันฟอกเงินหรือไม่ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า จำเลยที่ 2 โอนเงินบางส่วนให้มารดาบุญธรรมเป็นประจำทุกเดือน รวมทั้งโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อนสนิท แต่เป็นการชำระหนี้ที่กู้ยืมมา นอกจากนี้โอนเงินไปบริษัทแห่งหนึ่งแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินสกุลดอลลาร์เพื่อใช้ระหว่างอยู่ต่างประเทศเท่านั้น ด้วยเหตุข้างต้นไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 2 มีความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน พยานหลักฐานโจทก์และผู้เสียหายนำสืบมา ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 2 กระทำผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้องให้ออกหมายปล่อยตัวจำเลย
หลังฟังคำพิพากษายกฟ้อง นายเมธาหรือบอนนี่ จำเลยที่ 2 ถึงกับร้องไห้โผเข้ากอดแม่บุญธรรม กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ร่วมรับฟังคำพิพากษาว่า รู้สึกดีใจมาก ตนถูกจองจำมา 1 ปี 8 เดือนยังไม่พร้อมให้สัมภาษณ์
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่