"สมศักดิ์" โต้เกรียนคีย์บอร์ดซุกตัว ตปท. กล่าวหารีดเงิน "เปรมชัย" 50 ล้านบาท แลกหลุดคุก ยันไม่มีมูลความจริง ขอบคุณ "ครอบครัวกรรณสูต" ส่งจดหมายยืนยันเป็นเรื่องเท็จ แจงสมัยคุม ยธ.ไม่มีรับผลประโยชน์ มีแต่หางานให้ผู้ต้องขัง ขอสังคมอย่าหลงเชื่อข้อมูลไร้หลักฐาน-เหตุผล

เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 66 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มีผู้ส่งข้อมูลมาให้ตนว่าในโซเชียลมีเดีย มีผู้โพสต์ข้อความกล่าวหาตนทำนองว่าเรียกรับเงินจากผู้ต้องขัง คือ นายเปรมชัย กรรณสูต โดยผู้โพสต์ได้อยู่ต่างประเทศมีข้อความว่า "ส่วนตอนที่เข้าคุกไปแล้ว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน มาเสนอว่าจะช่วยให้ออกไปได้ แต่ต้องจ่าย 50 ล้าน แต่ตอนนั้นแกไม่ยอม เลยติดจริง" โดยตนขอยืนยันว่าไม่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งต้องขอขอบคุณ นางคณิตตา กรรณสูต ภรรยานายเปรมชัย ที่ได้ส่งจดหมายมาถึงตน เพื่อยืนยันว่าเรื่องที่ถูกกล่าวหานั้น ไม่มีมูลความจริง โดยในจดหมายระบุว่า "ตามที่มีการพาดพิง เมื่อตอนคุณเปรมชัย กรรณสูต เข้าคุก มีการเรียกรับเงินจากครอบครัวดิฉัน 50 ล้านบาทนั้น เป็นความเท็จ" ซึ่งตนต้องขอขอบคุณครอบครัวกรรณสูต ที่ได้ออกมาปกป้องและได้ยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียนั้น ไม่ใช่ความจริง

...

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตลอดเวลาที่ตนทำงานอยู่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ในส่วนของกรมราชทัณฑ์นั้น ไม่เคยมีการเรียกรับเงิน หรือให้ประโยชน์กับผู้ต้องขังคนใดคนหนึ่ง โดยทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบ และในทางกลับกัน กลุ่มผู้ต้องขัง ตนก็ไม่เคยทอดทิ้ง ซึ่งมีความเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องความเป็นอยู่ รวมถึงการสร้างอาชีพที่ได้ผลักดันไว้หลายเรื่อง เช่น เรือนจำท่องเที่ยว โครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ การสร้างอาชีพ การลอกท่อระบายน้ำ การให้ความสำคัญกับการศึกษา ทั้งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และวิชาคณิตศาสตร์ เพราะตนกังวลว่า ผู้ต้องขังจะไม่มีรายได้ รวมถึงเมื่อออกมาจากเรือนจำแล้ว จะไม่มีงานทำ จึงให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้ไว้ ดังนั้น เรื่องรับผลประโยชน์ ตนไม่มีอย่างแน่นอน

"ผมขอสังคมที่หลงเข้าใจผิด ตามที่ผู้โพสต์บิดเบือนได้เข้าใจว่า ตลอดการทำงานการเมือง 40 ปี ผมไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนเป็นหลัก จึงขอให้สังคมอย่าหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่มีที่มาที่ไป เป็นเพียงข้อความสั้นๆ กล่าวหาแบบไร้หลักฐานและเหตุผล ทำให้ผมเสียหาย ทั้งที่พี่น้องประชาชนควรจะได้รับรู้เรื่องที่ดี ที่ผมได้ขับเคลื่อนไว้ แต่กลับต้องมาเสียหายจากการบิดเบือนแบบไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว