คดีหัวหน้าฝ่ายประเมินรายได้ เขตราชเทวี เรียกรับเงิน 3.2 ล้านบาทเริ่มบานปลาย ผบก.ปปป.สั่งทีมงานขยายผลหาความเชื่อมโยงกว่า 100 คดี ตั้งแต่ปี 60 ระหว่างที่ผู้ต้องหารายนี้ดำรงตำแหน่งที่เขตพญาไทและเขตราชเทวี เบื้องต้นพบผู้ร่วมกระทำผิดเพิ่มอีก 1 คนเป็นลูกน้องคนสนิท ด้านที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. ยืนยันไม่มีการปกปิดช่วยเหลือคนผิด

ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 11 เม.ย. พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. เชิญ นายณันทพงศ์ สินมา ผอ.เขตราชเทวี เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตราชเทวี มาสอบปากคำให้ข้อมูลในฐานะพยาน เพื่อขยายผลคดีนายประมวล แสงแก้วศรี อายุ 57 ปี หัวหน้าฝ่ายประเมินรายได้ สำนักงานเขตราชเทวี เรียกรับเงิน 3.2 ล้านบาทจากผู้ประกอบการ แลกกับการเลี่ยงจ่ายภาษีโรงเรือน 42 ล้านบาท

หลังการสอบปากคำนานประมาณ 2 ชั่วโมง พล.ต.ต.จรูญเกียรติเปิดเผยว่า จากการขยายผลเอกสารหลักฐานบันทึกต่างๆที่ตรวจยึดได้หลังการเข้าตรวจค้นบ้านผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตราชเทวี 11 คนมาสอบปากคำ รวมถึงเชิญตัว ผอ.เขตราชเทวีเข้าให้ข้อมูล มี พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นผู้ประสานพาเข้าให้ปากคำในฐานะพยาน ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการหรือผู้ปรากฏชื่อในแผนผัง สมุดบันทึกหรือเอกสารต่างๆ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการและสถานประกอบการในพื้นที่ตามที่ได้รับคำสั่ง จากนั้นจะส่งข้อมูลให้นายประมวล แสงแก้วศรี หัวหน้าฝ่ายประเมินรายได้ที่ถูกจับกุม แต่พนักงานสอบสวนไม่ปักใจเชื่อในพยานหลักฐานต้องสอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้องว่าใครรับผิดชอบอะไร ทำหน้าที่อะไร รู้เห็นกับการเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบหรือไม่ เบื้องต้นทั้งหมดให้การเป็นประโยชน์ในระดับหนึ่ง

...

“พยานหลักฐานที่พบและตรวจยึดได้ พนักงานสอบสวนเตรียมนำไปขยายผลเชื่อมโยงกับอีกกว่า 100 คดีที่พบการเรียกรับผลประโยชน์แลกกับการเลี่ยงจ่ายภาษีที่ผู้ต้องหารายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในเขตพญาไทและเขตราชเทวี โดยจะตรวจสอบย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 60 เป็นช่วงเวลาที่ผู้ต้องหาดำรงตำแหน่งอยู่ที่เขตพญาไท ส่วนคดีที่สำนักงานเขตราชเทวีพบผู้ร่วมกระทำความผิดเพิ่มอีก 1 คนเป็นลูกน้องคนสนิทของผู้ต้องหา ทำหน้าที่เก็บเงินและประสานงานกับผู้ประกอบการ ส่วนบุคคลอื่นอยู่ระหว่างขยายผล” พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าว

ขณะที่ พล.ต.อ.อดิศร์กล่าวว่า กทม.สนับสนุนนโยบายปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน การเรียกรับผลประโยชน์ต่างๆอย่างจริงจัง หลังพบการขออนุญาตสถานประกอบการและสถานบริการมีความล่าช้าสูง ประชาชนไม่ทราบกรอบระยะเวลาที่แน่นอน ทำให้เจ้าหน้าที่อาศัยช่องโหว่เรียกรับผลประโยชน์กับค่าอำนวยความสะดวก ยอมรับว่าการคิดภาษีโรงเรือนแบบเก่ามีช่องโหว่จากการให้ใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ผู้ประเมินภาษีค่อนข้างมาก เกิดช่องว่างในการหาผลประโยชน์ ต่อมามีการปรับแก้ใช้วิธีคิดภาษีแบบใหม่โดยให้กรมธนารักษ์ประเมินภาษีจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อลดช่องว่างการหาผลประโยชน์ แต่เนื่องจากช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านการคิดภาษีแบบเก่ากับแบบใหม่ ทำให้มีเจ้าหน้าที่นำการคิดภาษีแบบเดิมไปหาผลประโยชน์ กทม.ยืนยันไม่มีการปกปิดหรือช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ผู้ทำความผิดและจะให้ความร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่