“ทนายตั้ม” แจงวุ่น ท้าสาบานให้มีอันเป็นไปหากรับเงินมาถล่ม “ชูวิทย์” ยันโพสต์เพราะต้องการให้ประชาชนรับรู้ข้อเท็จจริง พร้อมเปิดต้นตอใบเสร็จค่าแถลงข่าว 3 แสน รับเรียกเก็บจริงแต่ไม่ใช่ทุกเคส ระบุเป็นค่าป้องกันหากถูกฟ้องในอนาคต โบ้ยลูกน้องใช้คำผิด หลังจากนี้จะให้ทีมงานใช้คำที่ถูกต้องกว่านี้ ด้าน “ชูวิทย์” ไปศาลพร้อม “ทนายอนันต์ชัย” ซัดคู่กรณีใช้สื่อเป็นเครื่องมือ ใช้การแถลงข่าว ไม่ใช่วิถีทนายความ บอกให้ลุ้นต่อพรุ่งนี้ เงิน 6 ล้านจะเอาไปให้ใคร “ทนายอนันต์ชัย” สอนน้อง บอกให้ว่าความกันในศาล ไม่ใช่บนโซเชียล แนะลูกความจากนี้หยุดจ้อ พาดพิงมาฟ้องครั้งละ 100 ล้าน “อัจฉริยะ” โดดร่วมวงศึกแฉ ร้องกองปราบฯเอาผิด 2 นายพลปึ้ก “สารวัตรซัว” หิ้ว 6 ล. ให้เสี่ยอ่าง ผิดฟอกเงิน

กรณี ทนายตั้ม หรือนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เปิดศึกแฉพฤติกรรมนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ที่รับเงิน 6 ล้านบาท จาก “สารวัตรซัว” หรือ พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล อดีตสารวัตรฝ่ายโยธาธิการ 2 กองโยธาธิการ สำนักงานส่งกำลังบำรุง แต่เบื้องหลังพัวพันเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่ มี 2 นายพลตำรวจนำมามอบให้ หวังให้หยุดแฉ แต่นายชูวิทย์กลับนำเงินดังกล่าวบริจาคให้โรงพยาบาล 2 แห่ง จนทั้ง 2 โรงพยาบาลต้องนำเงินมาคืนเพราะเป็นเงินที่เชื่อว่าผิดกฎหมาย ขณะที่นายชูวิทย์โต้กลับโพสต์ภาพใบเสร็จค่าแถลงข่าว 3 แสนบาทลงชื่อทนายตั้ม มีผู้แสดงความเห็นทั้ง 2 ฝ่าย จนทั้งนายชูวิทย์และทนายษิทรานัดแถลงข่าวกันอีกครั้ง

...

“ชูวิทย์–อนันต์ชัย” แถลงโต้ “ทนายตั้ม”

เมื่อเช้าวันที่ 27 มี.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องครั้งที่ 2 คดีที่บริษัทต้นตระกูล และนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง เป็นโจทก์ฟ้องนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรอง ผกก. ตำรวจสันติบาล ข้อหาแจ้งความเท็จอันเกี่ยวกับความผิดทางอาญาที่มิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น, สร้างพยานหลักฐานเท็จ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท กรณีกล่าวหาว่า ที่โรงแรมเดอะเดวิส คอนเนอร์วิงค์ ซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม.ของบุตรชายนายชูวิทย์ เป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาเสพติดของนักเที่ยว มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จ นายชูวิทย์ มากับนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ

ขู่พาดพิงมาฟ้องครั้งละ 100 ล.

นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความนายชูวิทย์ ที่มาถึงก่อนระบุว่า วันนี้ขอพูดข้อกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328, พ.ร.บ.ทนายความ 2528 ข้อบังคับทนายความ 2529 เเละ พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ ได้รวบรวมมาเพื่อให้ความเห็นให้ประชาชนทราบข้อกฎหมายที่เเท้จริงเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ หลังจากนี้นายชูวิทย์จะไม่ให้สัมภาษณ์ ไม่ใช่นายชูวิทย์กลัว เเต่ในฐานะทนายความเเนะนำ เพราะหากนายษิทราให้สัมภาษณ์พาดพิงนายชูวิทย์อีกจะโดนดำเนินคดีอาญาเเละเเพ่ง เรียก 100 ล้านบาทต่อครั้ง

“อนันต์ชัย” แขวะให้ทำงานบนศาล

นายอนันต์ชัยกล่าวอีกว่า การเรียกเงินค่าเเถลงข่าว 3 เเสนบาท มองว่าถ้าการเเถลงข่าวเป็นประโยชน์เเละเป็นความจริง ลูกความได้รับความเป็นธรรม ในเเง่มุมตนไม่ผิด เเต่การอ้างว่าเป็นทนายเพื่อประชาชน เเต่ไปเรียกเงินประชาชนมันก็ไม่ถูก ต้องดูเป็นกรณีไป เรื่องนี้ไม่นำมาโจมตีกัน ทนายษิทรากับตนไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคือง เพียงเเต่ตนเป็นทนายความนายชูวิทย์ อยากฝากบอกถึงนายษิทรา กระบวนการที่เราทำงานคือบนศาล ว่าความกันบนศาล ไม่ใช่บนโซเชียล ที่ให้ลูกความไม่ต้องพูด ไม่ใช่เพราะกลัว เเต่ตามสไตล์ตนคือให้สัมภาษณ์ทีเดียวเเละไม่พูดอีก ไปเจอกันในศาลทีเดียว ไม่ใช่พูดรายวัน มาตรฐานตนจะไม่วิจารณ์คดีใคร ไม่ก้าวก่ายงานใคร ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเปิดเผยสาธารณะ ถ้าไม่ใช่ลูกความจะไม่เเถลงข่าวเพราะเป็นการผิดมารยาททนายความ

ซัดจัดฉากเริ่มจากถ่ายถุงเงิน

ทนายความนายชูวิทย์กล่าวอีกว่า วันนี้ขอเเถลง 3 ประเด็น 1.เรื่องความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326,328 ช่วงนายชูวิทย์ตีเเผ่เปิดโปง ทุจริตคอร์รัปชัน เเล้วมีบุคคลมาเเถลงข่าวโดยที่ไม่มีส่วนได้เสีย ไม่ใช่ประจักษ์พยาน ในศาล ถ้าไม่ใช่ประจักษ์พยานเป็นพยานบอกเล่าศาลจะไม่รับฟัง ยกเว้นพยานหลักฐานเเวดล้อมใกล้เคียงสอดคล้องกัน เเต่การไปกล่าวหานายชูวิทย์เเละลูกชายไปรับเงิน เป็นเรื่องส่วนตัวยิ่งจริง ยิ่งผิด อย่างเรื่องที่ถ่ายถุง เพราะได้เอาไว้เเบล็กเมล์เป็นการเริ่มจัดฉากว่าหากวันหนึ่งนายชูวิทย์ไม่ยอมจะถูกเปิดเผยขึ้นมา เเต่การรับเงิน 6 ล้านหรือ 10 ล้านมีพยานหลักฐานหรือไม่ เรียกว่ามันไม่ มีแต่ภาพถ่ายถุงเงินก่อน

เตือนทั้ง “ตั้ม” เตือนทั้งตำรวจ

...

นายอนันต์ชัยกล่าวถึงเรื่องที่ 2 ว่า เรื่องมารยาททนาย การที่นายษิทราเป็นบุคคลผู้มีวิชาชีพทนายความมีการแถลงข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน ข้อบังคับของสภาทนายความที่ระบุว่าการกระทำอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องกันอันเป็นการหามูลไม่ได้มีโทษสูงสุดต้องลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ เเละต่อไปนายชูวิทย์ก็จะต้องไปร้องสภาทนายความ เราชาวทนายความทั้งหมดรู้สึกว่าการกระทำเเบบนี้ไม่ถูกต้อง น่าจะผิดมารยาท เรื่องสุดท้ายอยากฝากเรียนโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ปปง.ว่าที่ออกมาระบุว่าสุ่มเสี่ยงฟอกเงิน อยากบอกว่า นายชูวิทย์ไม่เหมือนมังกรฟ้า ที่ครั้งนั้นตนเป็นทนายความ เเละให้สัมภาษณ์จะฟ้องกลับตั้งเเต่ตำรวจไปยัน รมว.ดิจิทัล รวม 14 คน เเต่ลูกความไม่ฟ้องตนเลยเสียหมา เเต่สำหรับนายชูวิทย์ไม่ใช่ ถ้าตนบอกนายชูวิทย์ฟ้องเลยมาตรา 157 เเละ 200 ควรจะพูดว่าต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อน ไม่ใช่สุ่มเสี่ยง คุณเป็นตำรวจอย่ามาเล่นกับตน นายชูวิทย์เอาจริง เเละคุณจะเดือดร้อน

“ชูวิทย์” ไม่รู้ที่มา–ไม่ผิดฟอกเงิน

ทนายความชื่อดังกล่าวต่อว่า เรื่อง พ.ร.บ.ปราบปรามการฟอกเงินที่มีโทษอาญา ต้องกระทำโดยมีเจตนาโดยรู้ว่าเงินหรือทรัพย์สินได้มาจากการกระทำผิดมูลฐาน ต้องรับโอนซุกซ่อนปกปิดแหล่งที่มา หรือทราบว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดตามมาตรา 5 เเต่ข้อเท็จจริงคดีนี้ นายชูวิทย์ไม่รู้ เเละไม่มีเหตุอันควรจะรู้เพราะทรัพย์สินที่ได้มาเป็นเงินที่ได้จากการพนัน เเละกระทำผิดตามกฎหมายหรือไม่ เเต่นายชูวิทย์ไม่รู้เเละเอาไปทำบุญ ส่วนที่ระบุว่าทำไมไม่บอกโรงพยาบาลว่าเป็นเงินสารวัตรซัว ตรงนี้จะไปบอกได้อย่างไร เพราะเป็นเรื่องภายในที่ว่า ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ธุรกิจเป็นเเบบนี้ตนเป็นคนสีขาว นายชูวิทย์คนสีเทาเข้าใจดีมากกว่า เเต่สิ่งที่บอก คือนายชูวิทย์ขาดเจตนา เเต่ตรงข้ามคือนายษิทราที่รับว่าจะไปเเจ้งดำเนินคดี รวมทั้งไปยัง ปปง. เเสดงว่านายษิทรายอมรับว่าเงินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่มาจากการกระทำความผิด เเละบุคคลที่ส่งเงินเป็นผู้ครบองค์ประกอบการกระทำความผิด ที่มีข่าวว่านายอัจฉริยะ ไปเเจ้งความดำเนินคดีถือว่าถูกต้อง

...

“ชูวิทย์” ให้ลุ้นต่อ 6 ล.จะให้ใคร

ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดเผยว่า การใช้สื่อเป็นเครื่องมือ เมื่อมีอาชีพทนายก็ต้องใช้กฎหมาย เมื่อมีคนเดือดร้อนเงินเขาถ้าไปคิดเงินเขาตอนแถลงข่าว 3 แสนบาท มันไม่มีโจทก์ไม่มีจำเลย ตัวเองไม่มีหลักฐานนั่นแปลว่าคุณพูดฝ่ายเดียวหรือไม่ ไม่คิดว่าทนายความจะคิดเงินค่าแถลงข่าว สภาทนายความหรือสื่อมวลชนควรจะพิจารณา อีกทั้งการเป็นทนายความต้องใช้ความสามารถ ต้องใช้หลักฐาน ใช้พยาน แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายใช้การแถลงข่าว นั่นไม่ใช่วิถีทนายความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบอกว่าตัวเองเป็นทนายประชาชน ส่วนเงินบริจาค 6 ล้านบาท ที่ทางโรงพยาบาลคืนมา อยากให้ติดตามว่าวันพรุ่งนี้จะเอาไปให้ใคร ตอนนี้มีกระบวนการพยายามที่จะมาปิดปากตนเอง มีทั้งทนายความ พวกหิวแสง นักร้องเรียน ใครฟ้องมา จะฟ้องกลับ จะสู้ในทางกฎหมาย พร้อมสู้ทุกทาง เวลาสู้ก็จะไม่ค่อยเหมือนกัน ฝากไปบอกหมาลอบกัด พร้อมจะกัดตอบ ประกาศ “กูไม่กลัวมึง”

“ทนายตั้ม” ตั้งโต๊ะโต้ใบเสร็จ 3 แสน

...

ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่สำนักงาน SITTRA LAW FIRM BANGKOK ชั้น 24 อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม แถลงข่าวโต้กลับพร้อมเปิดเผยหลักฐานกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กเป็นภาพใบเสร็จรับเงิน 3 แสนบาทในชื่อของบริษัทนายษิทรา ระบุว่าเป็นค่าแถลงข่าวออกสื่อ และกล่าวหาว่านายษิทราเป็นตัวแทนเว็บพนันออนไลน์ ท่ามกลางสื่อมวลชนจำนวนมาก

ร่ายยาวจุดเริ่ม “ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม”

นายษิทราเผยว่า เมื่อปี 47 หลังเรียนจบเนติบัณฑิตและเป็นทนายความได้ให้คำปรึกษาและให้ความรู้ประชาชนทางกฎหมายสอนนักเรียนนักศึกษาโดยไม่คิดเงิน ได้ช่วยเหลือครอบครัวหนึ่งได้รับคำชมว่า “สมกับเป็นทนายประชาชน” ก่อนจะนำมาทำเสื้อ และตั้งมูลนิธิคอยให้คำปรึกษาและบรรยายข้อกฎหมาย กระทั่งมีชื่อเสียงจากคดีหวย 30 ล้านบาท และคดีลุงพล ไชยพล วิภา ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ไม่มีงานเลย 6 เดือน จนครอบครัวต้องลำบาก ก่อนเปลี่ยนแนวคิดหันมาทำธุรกิจเปิดบริษัทษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ได้ 1 ปีที่ผ่านมา มีคดีความนับพันคดี

รับมีเรียกเก็บเงินจริง แต่ไม่ทุกคดี

นายษิทรากล่าวยอมรับว่ามีคดีที่เรียกเก็บเงินจริง แต่ไม่ใช่ทุกคดี เว้นแต่เป็นคดีที่ต้องต่อสู้กับผู้มีอิทธิพล ลูกความต้องมีกำลังจ่าย และตนจะถูกฟ้องร้องแน่ เงินดังกล่าวจะไปใช้กับทุกคนที่จะถูกฟ้องไม่ใช่เพียงตนเท่านั้น ยกตัวอย่างคดีความขัดแย้งในครอบครัวอดีตรองนายก ย. อีกคดีที่เรียกเก็บเงิน คือคดีพี่ช่อฉัตร โตชูวงศ์ 3 แสนบาท จนถูกฟ้องร้องต้องเดินทางไป จ.นครพนม ดังนั้นจึงคิดค่าแถลงข่าว และการติดตามเรื่อง ทำในรูปแบบของใบเสนอราคา

แจงที่มาที่ไปใบเสร็จต้นเรื่อง

ทนายตั้มกล่าวต่อว่า ภาพดังกล่าวที่นายชูวิทย์ โพสต์เป็นเหตุการณ์วันที่ 17 ก.พ. มีนายตี้ ที่เกี่ยว ข้องเว็บพนันมาปรึกษา มีญาติกดโทรศัพท์ตัวเองโอนเงิน 40 ล้านบาทเข้าเว็บพนัน ต้องการให้ตนตามเรื่องกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) แต่เรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับนายตำรวจใหญ่ เรียกเงินค่าฟ้องร้อง และเก็บเพิ่มอีก 15 เปอร์เซ็นต์ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ตกลงกัน ผู้เสียหายไปพบทนายเดชา กิตติวิทยานนท์ แทน ทำให้ใบเสนอราคากลายเป็นที่มาของการแฉครั้งนี้ ยืนยันไม่ได้ไถเงิน ส่วนคดีอื่นๆ ที่ไม่เก็บเงิน เช่น คดีน้องพอร์ส Yes Indeed ที่ทำผิดสัญญาค่ายเพลง ตนก็ถูกฟ้องแต่ไม่ได้เรียกเก็บเงิน

ระบุเรตราคาค่าปรึกษาคดี

นายษิทรากล่าวยอมรับด้วยว่าเรียกเงินแพงเพราะทุกคนทราบดีว่าตนจริงจังและตามคดีถึงที่สุด เมื่อลูกความมาพึ่งแล้ว หากโดนฟ้องต้องโดนด้วยกัน เป็นคติตน ค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ ปกติคิดเงินค่าโทรศัพท์ปรึกษากับทีมงาน เวลา 20 นาที ราคา 1,000 บาท ปรึกษากับตน 1,500 บาท หากมาพบตนที่สำนักงาน 30 นาที 3,000 บาท ยืนยันว่าโปร่งใส ตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ เสียภาษีอย่างถูกต้อง ไม่ผิดมารยาททนายความ เพราะการเรียกรับเงินถือเป็นเรื่องปกติ เพราะทราบด้วยว่ามีทนายหญิงคนหนึ่งเก็บเงินค่าออกรายการโทรทัศน์ถึง 3 แสนบาท ขอยืนยันว่าไม่ได้เงินจากการแฉเรื่องนายชูวิทย์ รับเงิน 6 ล้านบาท เพียงแต่ทราบข้อมูลมา โพสต์ให้ประชาชนรับรู้

“ค่าแถลงข่าว” โบ้ยลูกน้องใช้คำผิด

นายษิทรากล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องค่าแถลงข่าวนั้น ต้องเปลี่ยนคำพูดใหม่ เพราะลูกน้องใช้คำผิด ต้องเปลี่ยนถ้อยคำจากค่าแถลงข่าวเป็นค่าดำเนินการติดตามเรื่องและเงินสำหรับการฟ้องร้อง ยืนยันว่าไม่ได้หลอกใช้สื่อ ไม่กลัวว่าสื่อไม่มานำเสนอข่าวให้ ที่ผ่านมาพูดกับลูกความแล้วว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด ไม่ให้ลูกความเดือดร้อน จึงไม่เคยแจ้งสื่อมาก่อนหน้านี้ หลังจากนี้เวลาแจ้งหมายข่าวจะระบุด้วยว่าคดีไหนได้รับเงินหรือไม่ ที่ผ่านมามีทั้งคนจนและรวยที่มาปรึกษาแต่ไม่ได้เก็บเงินทั้งหมด

รับไลฟ์สไตล์เปลี่ยนเพราะมีฐานะ

นายษิทรากล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการเปลี่ยนรูปลักษณ์และรสนิยมการใช้ชีวิตของตัวเอง เพราะมีฐานะมากขึ้น ที่บอกว่าตั้งแต่เปิดสำนักงานกฎหมายมีคดีเข้ามาประมาณ 1,500 คดี แต่ทำคดีได้ไม่ถึง 10% จะเลือกทำคดีที่ต้องชนะเท่านั้น หาเงินมาเพื่อให้ลูกเมีย ครอบครัวได้มีชีวิตดีๆ เป็นเงินที่ได้ด้วยความสุจริต ครอบครัวจะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศบ้างก็เป็นสิทธิ์ของตน ยอมรับว่าลูกความเคยมอบของขวัญนอกจากเงิน ให้เป็นเสื้อแบรนด์เนมราคา 2 หมื่นบาท

ซัด 2 นายพล 1 นายบ่อนซี้ชูวิทย์

นายษิทรายังเปิดเผยกรณีออกมาเปิดโปงนายชูวิทย์ รับเงินเว็บพนันออนไลน์จากสารวัตรซัวว่า นายชูวิทย์สนิทสนมกับอดีตตำรวจ 2 นายที่เกษียณราชการไปแล้ว มีนายหนึ่งเคยเป็นผู้บังคับการภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช อีกนายเคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ปปง. รู้จักกันดี เพราะทำคดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ และยังสนิทสนมกับสารวัตรซัวชนิดที่ไปไหนมาไหนกันได้ อดีตตำรวจนายนี้เป็นผู้นำเงินสารวัตรซัวมามอบให้นายชูวิทย์ เพื่อปิดปากการแฉเรื่องลาลิซ่าอาบอบนวดด้วยตัวเอง ในวันนั้น นอกจากตำรวจ 2 นาย ยังมีเจ้าของบ่อนพนันย่านพระราม 3 ที่มีตำรวจถูกยิงเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีก่อน อยู่ด้วย

“ซัว” ให้ต่อขั้วเอาเงินมาให้

ทนายตั้มกล่าวต่อว่า เรื่องนี้ น่าเชื่อได้ว่าอดีตตำรวจทั้งสองนายนี้ได้รับอนุญาตจากสารวัตรซัวให้นำเงินมามอบกับนายชูวิทย์ โดยรูปถุงเงินดังกล่าวนั้น เป็นการส่งงานให้กับเจ้าของเงินอีกครั้ง ผู้นำมาให้ต้องการแสดงให้เห็นว่า เงินถึงมือแล้ว และไม่น่าจะทำให้แบบไม่ได้อะไร เพราะเป็นเรื่องเสี่ยง มองว่า หากนำเรื่องดังกล่าวไปร้องเรียนหน่วยงานที่เคยเป็นต้นสังกัดของอดีตตำรวจทั้งสองนาย การตรวจสอบคงไม่เกิดขึ้น แต่ขณะนี้กำลังเตรียมทำเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบในวันพรุ่งนี้ ยืนยันว่าเจตนาที่ออกมาแฉนั้น เพราะต้องการทำให้รองเลขาฯ ปปง.ออกจากราชการให้ได้ และจะให้ตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินสกุลดิจิทัลกว่า 50 ล้านบาท ที่โอนเข้าไปให้ลูกชายนายชูวิทย์ ตนพร้อมไปให้ข้อมูลด้วยตัวเอง

สาบานให้มีอันเป็นไปถ้ารับงาน

ทนายตั้มกล่าวว่า ยืนยันว่าไม่รู้จักหรือเกี่ยวข้องกับสารวัตรซัว ก่อนจะโพสต์ภาพทำบุญและสาปแช่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะตัวเองไม่ยุ่งกับคนเหล่านี้ พร้อมสาบานหากตนรับเงินจากฝ่ายใดก็ตามมาโจมตีนายชูวิทย์ ขอให้ตัวเองล่มสลายและ
มีอันเป็นไป ส่วนพรรคการเมืองที่นายชูวิทย์โจมตีอยู่นั้นก็ยังฟ้องร้องตนเช่นกัน ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมือง แต่สาเหตุที่นำเรื่องราวมาเปิดเผยด้วยวิธีนี้ไม่ไปพูดคุยกับนายชูวิทย์ก่อน มองว่าหากนำหลักฐานต่างๆ ไปนั่งพูดคุยกันโดยตรง นายชูวิทย์ ก็คงไม่ยอมรับ เพียงแค่อยากให้ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำเท่านั้น ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ขอแนะนำว่าหากไม่มีหน่วยงานใดรับเงินบริจาคสีเทาดังกล่าว ขอให้เอาไปคืนกับอดีตสองตำรวจที่นำมาให้

โว...ไม่เคยแพ้คดีหมิ่นประมาท

นายษิทรากล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นถูกฟ้องร้องเอาผิดฐานหมิ่นประมาท พร้อมเรียกค่าเสียหายคดีละ 100 ล้านบาท ทั้งหมด 20 คดีนั้น พร้อมพิสูจน์ตามขั้นตอนกฎหมาย หากแพ้คดีต้องฟ้องร้องให้ล้มละลายเพราะไม่มีเงินขนาดนั้น จะพยายามรีบหาเงินมาต่อสู้หากแพ้คดี แต่ศาลท่านคงเมตตาคงไม่ต้องจ่ายถึง 100 ล้าน สัก 30-40 ล้านยังพอไหว ส่วนตัวนับถือทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ในฐานะรุ่นพี่ ไม่มีความกังวลใดเพราะไม่เคยแพ้คดีหมิ่นประมาท

ชม “อัจฉริยะ” แจ้งความ 2 บิ๊ก ตร.

ทนายตั้มกล่าวต่อว่า ส่วนนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ จะแจ้งความ 2 อดีตตำรวจ ขอชื่นชมที่กล้าออกมาเปิดเผยข้อมูล และขอขอบคุณ อาจเป็นครั้งเดียวหรือครั้งสุดท้าย เพราะที่ผ่านมาไม่เคยยอมรับการทำงานของนายอัจฉริยะ เพราะเคยมีคดีฟ้องร้องกันอยู่ สำหรับกรณีจเรตำรวจเรียกไปให้ข้อมูลเรื่องนายพล จ. เกี่ยวข้องกับสารวัตรซัวนั้น ที่ผ่านมาคณะกรรมการพยายามบ่ายเบี่ยง ทั้งที่ตนพร้อมตลอดเวลา จนทุกวันนี้ยังไม่สามารถเข้าชี้แจงได้ ล่าสุดนายษิทราได้ต่อสายโทรศัพท์ขณะที่สื่อมวลชนกำลังสัมภาษณ์ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจอีกด้วย

“อัจฉริยะ” โดดร่วมวงแจ้ง ป.

ช่วงเวลาขณะที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และนายษิทรา เบี้ยบังเกิด กำลังเปิดศึกสาวไส้กันอยู่นั้น เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 27 มี.ค. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าพบ พ.ต.ต.ปราโมทย์ ศุขศรีไพศาล สว.สอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งเอาผิด 2 นายพลตำรวจ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีนำเงินสารวัตรซัวพัวพันพนันออนไลน์ไปมอบให้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ 6 ล้านบาท ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542

ตรวจสอบเงิน 6 ล. เอาผิด “ชูวิทย์”

นายอัจฉริยะกล่าวว่า มาให้กองบังคับการปราบปราม เจ้าของสำนวนคดีเอาผิดสารวัตรซัว อายัดเงิน 6 ล้านบาท ตรวจสอบเอาผิดนายชูวิทย์ เรื่องการฟอกเงิน นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบเส้นทางการเงินจากเว็บพนันถูกโอนเข้าบัญชีภรรยา พล.ต.ต.ที่กล่าวหาอีกหลายล้านบาท อยากฝากไปถึงนายพลทั้ง 2 ท่านนี้ว่า รู้จักบุคคลที่อยู่ในรูปภาพที่ตนนำมาแสดงโชว์ด้วยหรือไม่ คนในรูปคือนายกานต์ หน้าเสื่อที่คอยเคลียร์เรื่องให้กับนายแทนไท อีกทั้งยังมีข้อมูลว่าเป็นบุคคลที่เข้าไปหานายชูวิทย์อยู่บ่อยครั้ง ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ระบุว่า ได้รับเงิน 6 ล้านบาทมาในวันที่ 3 ก.พ. ตามที่ชี้แจงกับสื่อมวลชน ไม่เชื่อว่าเป็นวันดังกล่าว เพราะในวันที่ 5-9 ก.พ. นายชูวิทย์ได้ไลฟ์สดโจมตีสถานอาบอบนวด ของนายเปา หลานบุญธรรม และสารวัตรซัว จนถูก ให้ออกจากราชการ นอกจากนี้ ยังทราบว่ายังมี พล.ต.อ. ช.ช้างอีกรายที่เป็นคนพานายแทนไทไปหา นายชูวิทย์ และมีตำรวจชื่อเด่น สังกัดกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5 คอยรับเคลียร์เว็บพนันทางภาคเหนือ

ขู่นายพล “อ.” อย่าลาออกหนีผิด

จากนั้น 14.30 น. นายอัจฉริยะเดินทางไปที่ สน.ทองหล่อ แจ้งความร้องทุกข์ให้ตรวจสอบรูปภาพที่ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ว่าเหตุเกิดที่โรงแรมเดอะ เดวิสหรือไม่ อย่างไร เพราะนายชูวิทย์และนายษิทราพูดไม่ตรงกัน รวมทั้งให้ดำเนินคดีกับบุคคลในภาพด้วย ต้องการให้พนักงานสอบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ได้ว่า ภาพนี้เกิดขึ้นวันที่เท่าไหร่ นำเงินมาให้เท่าไหร่ เป็นเงินสารวัตรซัวจริงหรือไม่ ยืนยันว่าเป็นกลาง ไม่ได้เข้าข้างใคร ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจตรวจสอบ ส่วนกรณีที่ พล.ต.ต.ชื่อย่อ อ. ระบุว่า จะเข้าแจ้งความเอาผิดตน เพราะสิ่งที่กล่าวหาไม่ใช่เรื่องจริงนั้น ให้ฟ้องได้เลย จะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ได้ ให้ไปสู้กันในศาล และยังมีภาพความลับของ พล.ต.ต. ชื่อย่อ อ. อีกเยอะ ถ้าไม่แน่จริง คงไม่กล้าแจ้งความ กลัวแต่ว่าจะไม่กล้าฟ้องจริง อย่าลาออกเพื่อหนีความผิด

“ชัชชาติ” ระบุ “สวนชูวิทย์” ยังเป็นของเอกชน

อีกด้านหนึ่งที่ศาลาว่าการ กทม. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือ ให้ตรวจสอบ “สวนชูวิทย์” ของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ถึงความชัดเจนในการยกที่ดินเป็นสาธารณสมบัติว่า ได้รับรายงานเบื้องต้น ข้อมูลที่เป็นเอกสารจาก กทม. โฉนดที่ดินดังกล่าวยังไม่ได้เป็นที่สาธารณะ ยังเป็นที่ดินเอกชน มีการจ่ายภาษีที่ดินต่อเนื่องตามกฎหมาย ที่ผ่านมาจ่ายภาษีรวม 3,000,000 บาท ขณะเดียวกันในการยกที่ดินให้เป็นสาธารณะ เข้าใจว่าเกิดขึ้นในกระบวนการชั้นศาลฎีกา กทม. ไม่มีข้อมูล มอบหมาย ปลัด กทม. ทำหนังสือขอคัดลอกคำพิพากษาหรือคำให้การในศาลฎีกา ว่ามีแนวทางปฏิบัติทางกฎหมายอย่างไร ต้องไปดูรายละเอียดให้ชัดเจน สำหรับที่ดินสวนชูวิทย์ที่กำลังก่อสร้าง ไม่มีข้อกฎหมายสั่งให้ยุติการก่อสร้าง มีเพียงหนังสือจากสำนักการโยธา (สนย.) แจ้งไปยังเจ้าของที่ดินเตือนถึงข้อพิพาทที่เกิดขึ้น หากจะดำเนินก่อสร้างแล้วเกิดปัญหาภายหลัง ต้องรับความเสี่ยงและรับผิดชอบเอง ทั้งนี้ต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย