ผมได้รับเชิญจากเพื่อนพ้องที่สนิทชิดเชื้อให้ไป “ทัวร์ธรรมะ” และทัศนศึกษาที่จังหวัดทางภาคอีสาน 2 จังหวัดในสัปดาห์นี้ ...ดูโปรแกรมแล้วแทบไม่มีเวลาว่างพอที่จะเขียนต้นฉบับส่งแฟกซ์กลับมาได้เลย
จึงต้องใช้วิธีเขียนล่วงหน้าทิ้งไว้วัน 2 วัน ดังที่เคยปฏิบัติมาทุกๆ ครั้งเวลาจะออกเดินทางไปโน่นไปนี่
พอดีผมเพิ่งมีโอกาสไปนั่งรถไฟฟ้า แอร์พอร์ตเรลลิงก์ หรือ ที่บางท่านมักเรียกสั้นๆว่า แอร์พอร์ตลิงก์ มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็เลยคิดว่าเขียนเรื่องนี้น่าจะเหมาะที่สุด
ผมโดยส่วนตัวแล้วมีความผูกพันอยู่กับรถไฟฟ้าสายนี้อยู่พอสมควร เพราะเคยอาศัยเป็นยานพาหนะในช่วงเย็นๆค่ำๆติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี หลังจากเลิกงานในแต่ละวันที่ไทยรัฐ
จนกระทั่งเกิดปัญหาโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก จนทำให้ผมต้อง “เวิร์กฟรอมโฮม” นั่งเขียนหนังสืออยู่ที่บ้านนั่นแหละ จึงต้องห่างเหินจากแอร์พอร์ตเรลลิงก์ไปไม่น้อยกว่า 2 ปีเต็มๆ
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงทำให้ผมมีโอกาสเข้าโรงพิมพ์บ่อยขึ้นและล่าสุดก็เริ่มมานั่งเขียนหนังสือที่โรงพิมพ์ได้เกือบทุกวัน เหมือนในห้วงเวลาปกติแล้วครับ
ปรากฏว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง ผมเขียนหนังสือเสร็จเร็วกว่าวันอื่นๆ ทำให้มีเวลาว่างอยู่พอสมควร ก็นึกขึ้นมาได้ว่าควรจะหาโอกาสไปนั่งรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์อีกสักครั้งหนึ่ง
ไปดูไปชมไปนั่งตระเวนสักเที่ยวจะได้เก็บมาเขียนรายงานความคืบหน้าต่างๆผ่านคอลัมน์นี้ดังที่เคยปฏิบัติมา
สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมต้องไปฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกค้าภาคค่ำของแอร์พอร์ตลิงก์ในยุคก่อนนั้นก็เป็นเพราะการจราจรแถวๆ ลาดพร้าวเส้นทางกลับบ้านของผมนี่แหละครับ
จู่ๆก็กลับมาติดหนักอย่างสาหัสสากรรจ์ ทำให้ผมใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงทุกๆหัวค่ำในการเดินทางจากไทยรัฐกลับบ้านที่บางกะปิ
...
ในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องหันไปใช้บริการ บีทีเอส+ แอร์พอร์ตลิงก์ไปลง สถานีรามคำแหง พร้อมกับนัดแนะภรรยาผมที่ทำงานอยู่แถวๆสุขุมวิท 71 ให้ขับรถมารับผมนั่งกลับบ้านไปด้วยกัน ประหยัด เวลาได้เกือบครึ่งหนึ่ง
แม้การใช้แอร์พอร์ตลิงก์จะรวดเร็วมากแต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงเวลานั้นผู้โดยสารภาคค่ำแน่นมาก เพราะประเทศไทยของเรากำลังบูมเรื่องท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่มาใช้รถไฟฟ้าสายนี้ในการเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง หรือจากเมืองกลับสนามบิน
ประกอบกับคนไทยเราเองที่อยู่ 2 ฟากสถานีก็ใช้บริการในการเข้าเมืองออกเมืองอย่างมากมายเช่นกัน ทำให้ผู้โดยสารแน่นเอี้ยด
แน่นเหมือนปลากระป๋องแทบไม่สามารถกระดิกตัวได้เลย
แรกๆผมกลัวมาก...กลัวว่าถ้าไปเกิดไฟฟ้าดับขณะเราอยู่บนรางลอยฟ้านั้นจะเอาตัวรอดได้อย่างไรหนอ เพราะถ้าไฟดับประตูก็จะเปิดไม่ออก...แล้วผู้โดยสารจะออกมาได้อย่างไร? ขณะเดียวกันถ้าไฟฟ้าดับแอร์ก็ต้องดับด้วย แล้วเราจะเอาอากาศที่ไหนหายใจกันได้ล่ะ?
จินตนาการด้วยความหวาดกลัววันแล้ววันเล่าจนเคยชินและหายกลัวไปในที่สุด...กลายเป็นสนุกที่ได้เบียดคนแน่น และได้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่แน่นมากในขบวนรถที่แล่นฉิวไปกลางอากาศ
รู้สึกคุ้นชินกับเสียงประกาศของผู้ประกาศหญิง ซึ่งคงใช้เทปอัดไว้เพราะทุกขบวนจะพูดเหมือนกันด้วยสำเนียงและเสียงเดียวกัน
เธอพูดภาษาอังกฤษได้ดีชัดถ้อยชัดคำ หรือแม้ภาษาไทยก็ชัดถ้อย ชัดคำยกเว้นคำเดียวที่เธอมักทอดเสียงยาวจนเป็นเอกลักษณ์
นั่นคือคำว่า “สถานีต่อไป” เธอมักจะออกเสียงยาวๆจนฟังเป็นว่า “สถานีต่อปาย”
นี่คือความหลังและภาพจำของผมก่อนที่โควิด-19 จะอาละวาด จนเป็นเหตุให้ผมไม่ได้มาขึ้นแอร์พอร์ตลิงก์อีกเลย
ผมจึงตื่นเต้นมากที่จะได้กลับไปขึ้นใหม่อีกครั้ง (อ่านต่อพรุ่งนี้)
“ซูม”