พาดหัวใหญ่ของสำนักข่าวออนไลน์ทุกสำนักเมื่อช่วงบ่ายๆ วันพุธที่ผ่านมา ทำให้ผมร้องเฮ้ย!ขึ้นมาดังๆ และรีบคลิกเข้าไปอ่านเนื้อข่าวแบบทันทีทันควันด้วยความอยากรู้รายละเอียด
นั่นก็คือหัวข่าวที่ว่า “ปิดตำนานแล้วรถเมล์ “สาย 8” จอมซิ่งแห่งสยาม...ไม่ผ่านเกณฑ์ประมูลใหม่เตรียมตัวหยุดเดินรถ”
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า “รถเมล์สาย 8” ซึ่งเป็นรถร้อนวิ่งระหว่าง แฮปปี้แลนด์-สะพานพุทธ นั้นได้ชื่อว่าเป็นรถเมล์สายที่โด่งดังที่สุด ของกรุงเทพมหานคร เป็นที่รู้จักของคนกรุงเทพฯอย่างดียิ่งแม้จะไม่ใช่คนย่านที่รถสายนี้วิ่งผ่านก็ตาม
เหตุเพราะรถเมล์สาย 8 ได้ชื่อว่าเป็นสายที่ขับซิ่งที่สุด สะวี้ดสะว้าดที่สุด ไม่เกรงใจรถคันอื่นๆมากที่สุด แถมพนักงานเก็บตั๋วยังได้ชื่อว่าดุที่สุด ดุกว่าพนักงานเก็บตั๋วทุกสายใน กทม.
แต่ไม่ว่าจะได้รับ “ตำแหน่ง” หรือ “ฉายา” ในเชิงลบ หรือในเชิงเป็น “ผู้ร้าย” ของท้องถนนอย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว รถเมล์ “สาย 8” เปรียบเสมือน “เพื่อนเก่า” คนหนึ่ง
แม้ระยะหลังๆผมจะพลอยไม่ชอบรถเมล์สาย 8 ไปด้วย แต่ก็จะมีบางอารมณ์ที่รู้สึกเสียดายและเสียใจว่า เพื่อนเราไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะผมรู้จักและคุ้นเคย เนื่องจากใช้บริการรถเมล์สาย 8 มาพอสมควรเมื่อ 50 ปีก่อนโน้น ซึ่งในยุคโน้นสมัยโน้น รถเมล์สาย 8 ยังอยู่ในสังกัด “รถเมล์ขาว” หรือรถเมล์ นายเลิศ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรถเมล์ที่ให้บริการได้ดีที่สุดสายหนึ่งของประเทศ
ช่วงที่ผมย้ายไปอยู่บ้านพักของ กรมประชาสงเคราะห์ ที่คลองจั่น บางกะปิ (ต่อมาโอนให้การเคหะแห่งชาติเป็นผู้ดูแล) นั้นตกประมาณ พ.ศ.2515 เวลาจะเดินทางเข้าทำงานในเมือง จะมีรถเมล์หลักอยู่ 2 สาย
...
สายหนึ่งไปทางถนนรามคำแหง ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงไปเข้าเพชรบุรีตัดใหม่แล้วก็ไปเรื่อยๆ จนสิ้นสุดระยะทางที่ ปากคลองตลาด ได้แก่รถเมล์สาย 60
อีกสายตั้งต้นจาก แฮปปี้แลนด์ สวนสนุกข้างๆหมู่บ้านผมไปทางถนนลาดพร้าวมาเข้าพหลโยธินผ่านหมอชิต ผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปสิ้นสุดที่สะพานพุทธก็คือ สาย 8 นี่แหละ
ผมก็ใช้สลับกันไปทั้ง 2 สายเรื่อยมา แม้จะแน่น จะโหนบ้าง แต่ก็ถือเป็นยานพาหนะคู่ใจที่นำผมจากบ้านไปสู่ที่ทำงาน...โดยไม่มีขาดตกบกพร่อง
แต่แล้วในปี 2520 อีก 5 ปีให้หลังนั้นเอง รัฐบาลไทยก็จัดตั้ง บริษัทขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ขึ้นมาเดินรถเมล์เอง ยกเลิกสัมปทานบริษัทเอกชน เมล์ขาว เมล์แดง ฯลฯ จนหมดสิ้น
รถเมล์นายเลิศ ซึ่งมีถึง 36 สาย รวมทั้งสาย 8 ด้วย จึงจำเป็นต้องเลิกกิจการไปพร้อมกับรถเมล์สายอื่นๆใน พ.ศ.ดังกล่าว
ตั้งแต่นั้นมาบริการของรถเมล์ทั้ง 2 สาย ที่ผมใช้อยู่ ก็แย่ลงเรื่อยๆ...และมาแย่ที่สุดสำหรับสาย 8 เมื่อมีการเปิดประมูลให้มี “รถร่วม” เข้ามารับผิดชอบในช่วงหลังๆ
ความโด่งดังของรถสาย 8 เมื่อกลายมาเป็นรถร่วมแล้วนั้น เคยมีผู้เขียนบรรยายเป็น “ร่ายยาว” ไว้ในโซเชียลมีเดียดังนี้
“สาย 8 รวดเร็วทันเวลา...ปุ๊บปั๊บมาไม่ต้องรอ...เจ้าพ่อย่านลาดพร้าว...วิ่งยาวสะพานพุทธ...หยุดได้ใน 5 วินาที เร็วรี่เหมือนกู้ภัย...ตะโกนไล่คันอื่นหลบ...สยบทุกวงแว้น...ตีโค้งแล่นรอบ ’สาวรีย์ชัยฯ...ไม่ถึงป้ายประตูก็เปิด...วิ่งเตลิดเซ็นทรัล ลาดฯ...กินขาดรถเมล์ทุกสาย...ชิดซ้ายแทบไม่มี...เร็วดีลมเย็นสบาย...10 บาทตลอดสาย จ่ายเร็วไว...รถเมล์ไทยจะไปแข่งรถเมล์โลก”
แม้จะเป็นคำบรรยายที่ตรงกับข้อเท็จจริง แต่สำหรับผมในฐานะเพื่อนเก่าและเคยใช้บริการยุคก่อนอ่านแล้วก็รู้สึกเห็นใจเป็นที่สุด
บางครั้งก็อดที่จะเถียงแทนในใจเสียมิได้ว่า สมัยก่อนเมื่อเป็นรถ “เมล์ขาว” นั้น สาย 8 ไม่ใช่อย่างนี้เลย...ถ้ารัฐบาลไม่คิดจะไปรวบเอากิจการเดินรถเมล์มาทำเอง ทำแล้วก็เจ๊ง...ต้องเปิดประมูลหารถร่วมภายหลังรถเมล์สาย 8 ก็คงไม่เป็นเช่นนี้
ดังนั้น เมื่อมาอ่านข่าวล่าสุดว่า “สาย 8” จะต้องจากไปอย่างแน่นอน ปิดตำนานตัวเองเช่นนี้แล้ว ก็ยิ่งอดที่จะใจหายเพิ่มขึ้นเสียมิได้
ไปดีเถอะ “สาย 8” เพื่อนรัก เราจะคิดถึงนายตลอดไป เพราะเรารู้จักนายมาก่อน และรู้ว่าครั้งหนึ่งนายคือ “คนดี” คนหนึ่งของสังคมไทย แต่ต้องมาเป็นคนร้ายดัง “ร่ายยาว” ข้างต้นนี้เพราะ ใคร?
จะตำหนิย้อนหลังก็ไม่กล้าครับ เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผมรักทั้งคู่... ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เริ่มคิดขึ้นก่อนแล้วมาสำเร็จในยุค ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แล.
“ซูม”