ศิริวร แก้วกาญจน์ กวี นักเขียน ชาวนครศรีธรรมราช คว้ารางวัล ซีไรต์ ประจำปี 2564 จากนวนิยายเรื่อง เดฟั่น วรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ "เล่าประสบการณ์ของตนเข้ากับการล่มสลายของชุมชนท้องถิ่นที่เกิดจากโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจต่อชะตากรรมของมนุษยชาติ"
วันที่ 10 มกราคม 2565 สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยฯ ได้จัดแถลงข่าวประกาศผลการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (Southeast Asian Writers Award) หรือรางวัลซีไรต์ (S.E.A. Write) ประเภท "นวนิยาย" ประจำปี 2564 รางวัลชนะเลิศประจำปีนี้ ได้แก่ นวนิยายเรื่อง เดฟั่น ผลงานของ ศิริวร แก้วกาญจน์
คำประกาศมีว่า "เดฟั่น" เป็นการเล่าเรื่องการก่อตั้งชุมชนท้องถิ่นในอดีตเชื่อมโยงกับการตั้งถิ่นฐานของคนภาคใต้ในบริเวณเทือกเขาบรรทัดและลุ่มทะเลสาบ แสดงให้เห็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้คน ส่งสารสำคัญว่าด้วยความทรงจำ บาดแผลที่ถูกลบเลือน เป็นเสมือนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เขียนตอบโต้ประวัติศาสตร์กระแสหลัก
เดฟั่น ใช้ตำนานวีรบุรุษที่เล่ากันในท้องถิ่นภาคใต้เป็นตัวเดินเรื่องให้สอดร้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคม เล่าเรื่องในลีลาวรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์อย่างมีวรรณศิลป์ ผ่านตัวละครเอกคือ “เดฟั่น” ซึ่งสูญเสียความทรงจำ และหลงอยู่ในมิติของห้วงคำนึงที่แหว่งวิ่น นวนิยายเรื่องนี้เดินเรื่องโดยใช้วิธีตัดต่ออย่างกระชับฉับไว เอื้อให้ผู้อ่านต่อเติมจินตนาการและทาบเทียบประสบการณ์ของตนเข้ากับการล่มสลายของชุมชนท้องถิ่นที่เกิดจากโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจต่อชะตากรรมของมนุษยชาติ เดฟั่นแสดงให้เห็นพลังของวรรณกรรมในการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ที่เล่าไม่ได้และไม่ได้เล่า
...
สำหรับ ศิริวร แก้วกาญจน์ ปัจจุบันอายุ 53 ปี เป็นชาวนครศรีธรรมราช เรียนที่วิทยาลัยศิลปหัตถกรรม นครศรีธรรมราช เข้าไปเป็นทหารอยู่ในกองทัพภาคที่ 4 เป็นเวลา 1 ปี เข้ากรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2534 รับจ้างทำงานประติมากรรมอยู่ราวๆ ครึ่งปี จากนั้นเข้าไปประจำอยู่ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์เล่มหนึ่ง พร้อมกับเขียนบทกวีและเขียนรูปไปด้วย ศิริวรเริ่มเขียนหนังสืออย่างจริงจังเมื่อลาออกจากงานประจำที่หนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์ฉบับดังกล่าว หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จากนั้นเขาไม่เคยเข้าทำงานประจำที่ไหนอีกเลย
ปัจจุบันมีผลงานมาแล้วหลายเล่ม ทั้งบทกวี ความเรียง เรื่องสั้น และนวนิยาย เคยได้รับรางวัลดีเด่นงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติปี พ.ศ. 2547 จากรวมเรื่องสั้น เรื่องเล่าของคนบันทึกเรื่องเล่าที่นักเล่าเรื่องคนหนึ่งเล่าให้เขาฟัง รางวัลบทกวีของสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยปี พ.ศ. 2538 จากบทกวีชื่อ 'ณ ซอกมุมสมัยและใครเหล่านั้น' และปี พ.ศ. 2539 จากบทกวีชื่อ พเนจร
มีผลงานผ่านเข้ารอบสุดท้ายรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำประเทศไทย 8 ครั้ง (9 เล่ม) คือ ปี พ.ศ. 2547 กวีนิพนธ์ ประเทศที่สาบสูญ ปี พ.ศ. 2548 รวมเรื่องสั้น เรื่องเล่าของคนบันทึกเรื่องเล่าที่นักเล่าเรื่องคนหนึ่งเล่าให้เขาฟัง ปี พ.ศ. 2549 นวนิยาย กรณีฆาตกรรมโต๊ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด ปี พ.ศ. 2550 กวีนิพนธ์ เก็บความเศร้าไว้ให้พ้นมือเด็กเด็ก และ ลงเรือมาเมื่อวาน ปี พ.ศ. 2551 รวมเรื่องสั้น ข่าวการหายไปของอาริญาและเรื่องราวอื่นๆ และปี พ.ศ. 2553 กวีนิพนธ์ ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง ปี พ.ศ. 2554 รวมเรื่องสั้น 'ความมหัศจจรย์ครั้งยิ่งใหญ่และเรื่องราวอื่นๆ' และปี พ.ศ. 2555 นวนิยาย 'โลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า'
ผลงานนวนิยายที่ได้รับการกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวางคือ เรื่อง กรณีฆาตกรรมโต๊ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด (The Murder Case of Tok Imam Storpa Karde) ซึ่งนำเสนอปัญหาเชิงลึกใน 3 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย ผ่านมุมมองและเสียงเล่าของตัวละครมากกว่าสิบตัว ที่มีความแตกต่างกันทั้งด้านปรัชญา ความเชื่อ เชื้อชาติ ความศรัทธา ช่วงวัย และอุดมคติ-อุดมการณ์
ต่อมา นวนิยายเล่มนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดย มาร์แซล บารังส์ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ PAJONPHAI