นายธรรมรัตน์ มุกมีค่า ผู้อำนวยการสำนักการคลัง เปิดเผยว่า ปีงบประมาณ 2563 กทม.ได้ตั้งประมาณการรายได้ไว้ 83,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2562 จำนวน 3,000 ล้านบาท โดยปรับเพิ่มประมาณการรายได้ที่ กทม.จัดเก็บเองขึ้น 500 ล้านบาท ร้อยละ 2.5 และปรับเพิ่มประมาณการรายได้ที่ส่วนราชการอื่นจัดเก็บให้ขึ้น 2,500 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.17 โดยสาเหตุที่ปรับเพิ่มประมาณการรายได้ ที่ กทม.จัดเก็บเอง มาจากการแก้ไขข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้หลายฉบับที่มีผลบังคับใช้ในปี 2563 แต่ปัจจุบันได้มีการแก้ไขข้อกฎหมายหลายฉบับที่จะทำให้ กทม.ไม่สามารถจัดเก็บรายได้ ได้ตามประมาณการที่ตั้งไว้ เช่น การเลื่อนเก็บค่าธรรมเนียมขยะ จากเดิมจะเริ่มเก็บในวันที่ 1 ต.ค. 62 เป็นเริ่มเก็บวันที่ 3 ต.ค. 63 และการปรับปรุงในรายละเอียดของการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงกับรายได้ กทม. ที่อาจไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ ส่วนของการปรับประมาณการรายได้ที่ส่วนราชการอื่นจัดเก็บให้เพิ่มขึ้นมาจากการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

นายธรรมรัตน์กล่าวต่อว่า กทม.ต้องเตรียมแผนการรองรับ การจัดเก็บรายได้ที่อาจจะต่ำกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ เพราะ กทม.ใช้วิธีการงบประมาณแบบสมดุล (รายรับกำหนดรายจ่าย) หากเกิดเหตุการณ์ที่รายได้ไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนี้ ที่มีทั้งโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ส่งผลโดยตรงกับรายได้หลักของ กทม. ดังนั้น จึงมีมาตรการรองรับเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่อาจจะกระทบกับเงินคงคลัง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บรายได้และการเบิกจ่ายเงินเพิ่มความเข้มงวดให้มากขึ้น ดังนี้ 1.กองรายได้ สำนักการคลัง และฝ่ายรายได้ สำนักงานเขต เร่งรัดติดตามและทวงถามลูกหนี้ ภาษีที่ค้างชำระ รวมถึงการวางแผนจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด 2.ให้หน่วยงานของ กทม. ที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บรายได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่ภาษี เพิ่มความเข้มงวดในการจัดเก็บและนำส่งเป็นรายได้ กทม. ให้ครบถ้วน ถูกต้อง รวดเร็ว 3.ให้สำนักงบประมาณ และสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล พิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นของการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เพื่อไม่ให้ กทม.เกิดการขาดสภาพคล่อง และ 4.ให้หน่วยงานในสังกัด กทม. ประเมินมาตรการประหยัดพลังงานที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายของหน่วยงานให้เป็นรูปธรรม.

...