"สมคิด" มอบนโยบาย สทบ. ร่วมมือ กรมธนารักษ์ เปิดศูนย์กระจายสินค้าชุมชน ใช้พื้นที่ราชพัสดุ เริ่มเดือนสิงหาคมนี้ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.63 นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ หรือ สทบ. กล่าวว่า หลังจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ได้ร่วมมือกับกรมธนารักษ์จัดโครงการความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยนโยบายนี้เป็นไปตามแนวทางที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้ให้ไว้เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว โดยมอบหมายให้ สทบ.ไปหารือกับกรมธนารักษ์เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งมีชีวิตความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งจากการหารือ สทบ.จะร่วมมือกับกรมธนารักษ์ ในการนำสินค้าของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง มาจำหน่ายในพื้นที่ของราชพัสดุของกรมธนารักษ์ที่มีอยู่ทั่วประเทศ โดยสมาชิกกองทุนหมู่บ้านจะรวบรวมสินค้าแต่ละพื้นที่มาที่ศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งอาจจะใช้วิธีแลกเปลี่ยนหรือนำมาจำหน่ายเอง ขณะที่วิธีการขนส่งจะใช้วิธีแบบโบราณ ที่ใช้การขนส่งโดยรถของ บขส. ซึ่งจะได้คุยกับกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทขนส่ง จำกัด หรือ บขส.แล้ว ก็ยินดีที่จะลดราคาค่าขนส่งให้เป็นพิเศษด้วย ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งได้เป็นอย่างดี

นายรักษ์พงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับสินค้าที่จะนำมาที่ศูนย์กระจายสินค้า ทาง สทบ.จะเป็นผู้ดำเนินการคัดกรองสินค้าให้ได้คุณภาพ เพื่อเข้ามาจำหน่ายอย่างหลากหลาย ซึ่งสินค้าทั้งหมดจะมาจากกองทุนหมู่บ้านที่มีอยู่กว่า 70,000 กว่ากองทุนทั่วประเทศ ทั้งนี้ สทบ.ยังมีแผนที่จะผลักดันให้ร้านค้ากองทุนหมู่บ้านเป็นสถานที่รวบรวมผลผลิตของชุมชน และกระจายไปยังตลาดกลาง เพื่อนำผลผลิตออกสู่ตลาดนอกพื้นที่ เพิ่มช่องทางการจำหน่าย เพราะสินค้าในแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน และเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนในการเข้าถึงสินค้าในราคายุติธรรม และสร้างกลไกในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง

...

ด้าน นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานในระยะแรกนั้น กรมธนารักษ์ได้เตรียมจัดที่ดินราชพัสดุประมาณ 40 ไร่ ที่ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปรากร ซึ่งเป็นถนนสุขุมวิทสายเก่า บริเวณถนนสำโรง คลองด่าน ที่เชื่อมระหว่างกรุงเทพฯกับ จ.ชลบุรี มาเป็นเฟสแรก มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อนำร่องโครงการนี้ โดยจะเน้นที่ตลาดผลไม้ก่อน คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือน ส.ค.นี้ หลังจากนั้นจะขยายโครงการที่ 2 ที่ 3 และจะกระจายไปอีกในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเป็นสินค้าประเภทอาหารทะเล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย เพราะสินค้าในแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน และเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชน ในการเข้าถึงสินค้าในราคายุติธรรม และสร้างกลไกในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง.