ฉกฉวยวิกฤติไม่รอลงโทษ เว้นรายย่อย!

“สมชัย ศรีสุทธิยากร” แฉตัวเลขสต๊อกแมสก์ของหน่วยงานรัฐระหว่าง พณ.-กรมการค้าภายในไม่ตรงกัน รวมทั้งยอดส่งออกของกรมศุลฯถูกแก้ตัวเลขหายไปร่วม 130 ตัน เตรียมขยายผลต่อ คาดมีนอมินีดำเนินการ ขณะที่ตำรวจเอาจริงใช้ยาแรงส่งผู้ต้องหากักตุนแมสก์-ค้ากำไรเกินควรฟ้องศาลดำเนินคดีส่งเข้าเรือนจำ หลังฉวยโอกาสในช่วงวิกฤติโควิด-19 ส่วนคู่ของ “อัจฉริยะ-มัลลิกา” ยังเปิดศึกฟ้องกันนัว ปชป.ยันตรวจสอบให้ถึงที่สุด

ยังเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงความโปร่งใสของผู้เกี่ยวข้องและหน่วยงานของรัฐอย่างต่อเนื่อง ถึงปัญหาหน้ากากอนามัย หรือแมสก์ ขาดแคลนในช่วงวิกฤติแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 มีการเปิดเผยข้อมูล กล่าวหาว่ามีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางราย เข้าไปเกี่ยวข้องการกักตุนและส่งออกหน้ากากอนามัย ทำให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาใช้ยาแรงเอาผิดกับผู้กักตุนและจำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคา รวมทั้งเร่งผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อวันที่ 19 มี.ค. นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษก ปชป. แถลงถึงกรณีที่มีการกล่าวหาสมาชิกพรรคไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนและส่งออกหน้ากากอนามัยว่า เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความกระจ่างกับทุกฝ่ายนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคฯ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรค แต่งตั้งนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบ มีนายอิสสระ สมชัย นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ นายวิรัช ร่มเย็น เป็นกรรมการฯ และนายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ เป็นเลขานุการฯ ให้รายงานผลการตรวจสอบให้หัวหน้าพรรคทราบโดยเร็วหากปรากฏมีคนในพรรคเข้าไปเกี่ยวข้องพรรคจะดำเนินการโดยไม่ละเว้น

...

“พรรคยังยึดมาตรฐานเดิม จึงตั้งกรรมการชุดนี้ขึ้นสอบข้อเท็จจริงก่อนเพื่อความเป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากข้อมูลของนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เป็นการพูดถึงพฤติกรรม ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงก่อน ขอให้นายอัจฉริยะอย่าหยุดตรวจสอบในเรื่องนี้ ต้องเดินให้สุด ส่วนความรับผิดชอบทางการเมืองนั้นเชื่อว่าทุกฝ่ายพร้อมจะรับผิดชอบโดยเฉพาะผู้ที่ถูกระบุพาดพิง เมื่อความจริงปรากฏ” นายราเมศกล่าว

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคฯ ฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว เปิดเผยว่า หลังจากได้รับแต่งตั้งแล้วจะนัดคณะกรรมการฯประชุมกำหนดกรอบการทำงานภายในสัปดาห์หน้า เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายให้ครบถ้วน ไม่รู้สึกกังวลที่ต้องสอบคนในพรรคเพราะเรื่องในพรรคก็ต้องให้คนในพรรคสอบเอง ยืนยันจะยึดถือข้อเท็จจริงและประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก

ที่รัฐสภา เย็นวันเดียวกัน นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประธานอนุกรรมาธิการชุดที่ 2 ใน กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) แถลงผลการประชุมคณะอนุ กมธ.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นการกักตุนหน้ากากอนามัยส่งไปขายต่างประเทศ โดยเชิญนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมมาให้ข้อมูล แต่เจ้าตัวติดภารกิจขอเลื่อนไป คณะอนุ กมธ.จึงเชิญนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ที่ปรึกษาอนุ กมธ.ป.ป.ช. มาให้ข้อมูลแทน เบื้องต้นนายสมชัยตั้งประเด็นที่ตัวเลขสต๊อกหน้ากากของหน่วยงานรัฐไม่ตรงกับที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ ระบุเมื่อปลายเดือน ม.ค. ว่ามีสต๊อกหน้ากาก 200 ล้านชิ้น หรือผลิตได้เดือนละ 100 ล้านชิ้น แต่อธิบดีกรมการค้าภายในบอกว่า ไม่มีสต๊อก 200 ล้านชิ้น เพราะมีกำลังผลิตเพียง 1.2 ล้านชิ้นต่อวันหรือ 36 ล้านชิ้นต่อเดือนเท่านั้น อนุ กมธ.สงสัยทำไมตัวเลขแตกต่างกัน

เช่นเดียวกับตัวเลขส่งออกหน้ากากทางการแพทย์ ที่กรมศุลกากรระบุเมื่อวันที่ 11 มี.ค.ว่าส่งออก 5,993 กก. แต่วันที่ 19 มี.ค. แก้ไขตัวเลขเป็น 3,326 กก. ส่วนหน้ากากทั่วไปมีส่งออกวันที่ 11 มี.ค. 186,098 กก. แต่วันที่ 19 มี.ค. แก้ไขเป็น 56,510 กก. จึงสงสัยว่าทำไมตัวเลขหายไปประมาณ 130 ตัน

“อนุ กมธ.เตรียมสอบลึกให้กรมศุลกากรส่งเอกสารการนำเข้าและส่งออกมาตรวจสอบ เพราะสงสัยว่ามีบริษัทนอมินีในการส่งออกแทนบริษัทตัวจริง และอาจไม่ได้เป็นการส่งออกต่างประเทศอย่างเดียว แต่อาจนำมาขายในตลาดมืด ในราคาสูงเกินความจริง จะเชิญรักษาการอธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมศุลกากรและเลขาธิการ ปปง.มาให้ข้อมูลในสัปดาห์หน้า รวมทั้งจะเชิญคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่ตกเป็นข่าวเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัยมาให้ข้อมูลด้วย ผมเชื่อว่าเมื่อดำเนินการไปแล้วน่าจะมีความจริงปรากฏอีกมาก” นายธีรัจชัยระบุ

อีกด้าน ที่ สน.ทุ่งสองห้อง นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าพบ พ.ต.ท.สุภวุฒิ วิเศษโวหาร รอง ผกก. (สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อแจ้งความกับนางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ และผู้รับมอบอำนาจอีก 3 คน ในข้อหาแจ้งความเท็จ หลังจากเมื่อวันที่ 17 มี.ค.นางมัลลิกามอบอำนาจให้ทีมทนายความ นำโดยนายนิติธร ล้ำเหลือ แจ้งความดำเนินคดีกับนายอัจฉริยะ ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ฐานนำข้อมูลอันเป็นเท็จฯ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลังไลฟ์ผ่านเพจชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พาดพิงมีหญิงสาวเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี เป็นคนรับส่วนต่างจากบริษัทที่มีการส่งออกหน้ากากอนามัยไปยังต่างประเทศ

...

“ผมฟังการแถลงข่าวของนางมัลลิกา เมื่อวานนี้ถือว่าเป็นสิทธิที่จะชี้แจง ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะหลักฐานต่างๆได้มอบให้เจ้าหน้าที่ไปแล้ว แต่มีประเด็นเดียวที่พูดถึงว่าให้ไปตรวจสอบประวัติของผม ดังนั้นผมขอยืนยันว่าเคยถูกตรวจสอบมาแล้วหลายหน่วยงาน ผมไม่ใช่นักการเมือง ไม่เคยตบทรัพย์ใคร และไม่ได้โจมตีใคร ส่วนข้อมูลทั้งหมดผมนำมาจากกรมการค้าภายในและกรมศุลกากร ดังนั้น หากรับใบสั่งแล้วผมจะได้อะไร และกรณีที่กล่าวหาว่านายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ให้ข้อมูลนั้น ยืนยันว่าไม่เคยพูดคุย ไม่เคยรู้จักและไม่เคยให้ราคา รวมถึงกรณีที่กล่าวหาว่ารับงานจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ นั้น ก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน” นายอัจฉริยะกล่าว

ส่วนมาตรการของภาครัฐที่บังคับใช้กฎหมายกับผู้กักตุนและขายหน้ากากอนามัยเกินราคาเพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบนั้น ที่ศาลอาญา เวลา 14.00 น. พ.ต.ท.ปริญญา ปาละ รอง ผกก. (สอบสวน) กก.1 บก.ปคบ. คุมตัว น.ส.ณัปอิศรา ขอสุข นายพงษ์พันธ์ โสมสุด น.ส.น้ำฝน เอยศิริ น.ส.อุมาพร มั่นคง น.ส.นิศรา มหาเรือนขวัญ นางทัศพร ฉันทนาภิธาน และ น.ส.ตาว ตรีเทวี แยกฟ้องเป็น 7 สำนวน ฐานห้ามผู้ประกอบธุรกิจดำเนินการใดๆ โดยจงใจที่จะทําให้ราคาต่ำเกินสมควร หรือสูงเกินสมควร หรือทําให้เกิดความปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้าหรือบริการใด ผู้ใดไม่แสดงราคาหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามกำหนดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ม.29 ม.40 ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 คน พร้อมสำนวนส่งให้อัยการพิเศษฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 ยื่นฟ้องศาลทันที ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดสำนึกผิดในการกระทำ ยินดีมอบของกลางให้รัฐส่งมอบต่อให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน รวมถึงประชาชนที่เดือดร้อน การดำเนินคดีในลักษณะนี้จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป รวมทั้งเป็นการป้องปรามให้ประชาชนทั่วไปไม่กระทำผิดขายสินค้าเกินราคา

...

ภายหลังศาลพิพากษาจำคุก น.ส.ณัปอิศรา ขอสุข นายพงษ์พันธ์ โสมสุด น.ส.น้ำฝน เอยศิริ น.ส.อุมาพร มั่นคง และ น.ส.ตาว ตรีเทวี ลดหลั่นไปตามพฤติการณ์และจำนวนของกลาง โดยจำคุกตั้งแต่ 1 ปี 6 เดือน ถึง 6 เดือน โดยพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าจำเลยทั้งห้าฉกฉวยช่วงวิกฤติไวรัสโควิด-19 ทั้งที่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัย เห็นสมควรไม่รอการลงโทษจำเลยทั้งห้า ส่วนนางทัศพรมีหน้ากากอนามัย 50 ชิ้น และ น.ส.นิศรา มีหน้ากากอนามัย 8 ชิ้น พิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 5 หมื่นบาท ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 25,000 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์จำเลยทั้งสองมีของกลางปริมาณน้อย และไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวจำเลย 5 คน ที่ศาลไม่รอการลงโทษไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง

ขณะที่นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจับกุมดำเนินคดีผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัยที่กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 จนถึงวันที่ 18 มี.ค. จับกุมดำเนินคดีรวม 176 ราย แบ่งเป็นเขต กทม. 99 ราย ต่างจังหวัด 77 ราย นอกจากนี้ยังจับกุมผู้ขายเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เป็นสินค้าควบคุม ฐานไม่ปิดป้ายแสดงราคาและข้อหาขายเกิน ราคาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการด้วย หากพบเห็นผู้กระทำผิด สามารถแจ้งที่สายด่วน 1569 หรือเว็บไซต์กรมการค้าภายใน www.dit.go.th 

...

สำหรับบรรยากาศการจัดหาหน้ากากอนามัยเพื่อช่วยเหลือประชาชนของหน่วยงานต่างๆนั้น บ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยราคาถูกของกรมการค้าภายใน กระทรวง พาณิชย์ เป็นการเปิดขายเฉพาะในร้านอินทนิล ปั๊มน้ำมันบางจาก พร้อมกัน 200 ปั๊ม ทั่ว กทม.ก่อนขายทั่วประเทศในวันที่ 23 มี.ค. มีประชาชนเดินทางมาต่อคิวซื้อเป็นแถวยาวเหยียด ทั้งนี้ หน้ากากอนามัย 400 ชิ้น ที่ขายในอินทนิล ปั๊มบางจาก สุขุมวิท 62 หมดลงภายในเวลา 1 ชม. ส่วนสาขาอื่นๆใน กทม.ที่วางก็หมดในเวลาไม่ถึงชั่วโมงเช่นกัน ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บ.บางจากฯ เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดจุดเติมแอลกอฮอล์เจลฟรีที่ปั๊มบางจาก กทม.และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. เป็นต้นไป จนกว่าแอลกอฮอล์เจลจะหมด สามารถตรวจสอบสาขาของสถานีบริการได้ที่ www.facebook.com/Bangchak  และ www.bangchakmarketplace.com 

ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าฯ กทม. พร้อมคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ติดตามการผลิตแอลกอฮอล์ล้างมือ ที่มีภาคเอกชนสนับสนุนเอทิลแอลกอฮอล์ 95 เปอร์เซ็นต์ เพื่อนำมาผลิตแอลกอฮอล์ล้างมือ กว่า 130,000 ลิตร โดยในวันที่ 20 มี.ค. กทม.จะนำแอลกอฮอล์ล้างมือไปแจกประชาชนตามชุมชนต่างๆทั่ว กทม. ทั้งนี้หน่วยงานภาคเอกชน หรือผู้ประกอบการที่ประสงค์จะสนับสนุนวัตถุดิบและวัสดุต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์ขวด หรือบรรจุภัณฑ์ เพื่อใช้ในการผลิต สามารถติดต่อแจ้ง ความประสงค์ได้ ที่นางสุธาทิพย์ สนเอี่ยม ผู้ช่วยปลัดกรุงเทพมหานคร เบอร์โทรศัพท์ 06-2745-6398