ถกเอกชน-ปณ. ร่วมมือกับจนท. ตรวจบัตรปชช. ฝ่าฝืนโทษหนัก

“บิ๊กอวบ” เรียกประชุมใหญ่ ภาครัฐและเอกชน ป้องกันการส่งยาเสพติดทางไปรษณีย์ เบื้องต้นสั่งทุกโรงพักทั่วประเทศตรวจสอบบริษัทส่งพัสดุในพื้นที่ จัดชุดตรวจสอบและประสานงานผู้ประกอบการ ถ้าผู้ประกอบการรายไหนเพิกเฉย หรือปล่อยปละละเลยให้ขนส่งยาเสพติด อาจถูกสั่งปิดชั่วคราว หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาต ถ้ารายไหนปล่อยให้ส่งยาเสพติดซ้ำๆ ส่อถึงพฤติกรรมให้ความช่วยเหลือสนับสนุน จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อาจรวมถึงยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบ ส่วนการแก้ไขระยะยาวจะเสนอแก้กฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัยและครอบคลุมทุกภาคส่วน

ตำรวจเดินเครื่องปิดช่องโหว่ ส่งของผิดกฎหมายจากพัสดุ เปิดเผยขึ้นที่ห้องประชุมพรหมนอก กอง บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 ก.ค. พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผบช.ปส.และ พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส. เรียกประชุมหารือแนวทางการป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านทางไปรษณีย์ไทย พัสดุภัณฑ์ และระบบขนส่ง (Logistics) โดยมีตัวแทนหน่วยงานต่าง อาทิ กอ.รมน. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และผู้ประกอบการขนส่งเอกชนเข้าร่วมประชุมหารือ และกำหนดแนวทางป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านทางไปรษณีย์ รวมถึงชี้แจงมาตรการลงโทษทางกฎหมายเพื่อบังคับใช้เอาผิดผู้เกี่ยวข้อง

...

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันสกัดกั้นจับกุมกลุ่มลูกค้ายาเสพติดทั้งรายย่อยและรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ขบวนการค้ายาเสพติดหันมาเปลี่ยนวิธีลักลอบขนยาเสพติด ส่งเป็นพัสดุผ่านระบบไปรษณีย์ไทยและบริษัทขนส่งเอกชนเพิ่มมากขึ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมประชุมหารือ ขอความร่วมมือกำหนดแนวทางป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านไปรษณีย์ 1.กำชับให้ผู้ประกอบการเพิ่มความเข้มงวดการปฏิบัติตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 5 (2558) การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ต้องบันทึกข้อมูลบัตรประชาชนของผู้ส่งและผู้รับ การปรับปรุงแก้ไขแอปพลิเคชันต้องมีเงื่อนไขการให้ข้อมูลที่เพียงพอและให้ทำศูนย์ข้อมูลกลาง เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ

“2.สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานงานกับผู้ประกอบการ ให้ทุก สน. สภ. สำรวจสถานประกอบการที่รับส่งไปรษณียภัณฑ์ทุกพื้นที่ เพื่อให้คำแนะนำฝึกอบรมดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย พร้อมรับแจ้งเหตุหากพบหรือสงสัยว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ให้แจ้งที่หมายเลข 1599 หรือ 191 ทุกจังหวัด และ 1386 สำนักงาน ป.ป.ส. 3.หากตรวจสอบพบว่าผู้ประกอบการรายใดไม่มีมาตรการรัดกุม เพิกเฉย หรือปล่อยปละละเลยให้ลักลอบขนส่งยาเสพติด สถานประกอบการนั้นอาจถูกสั่งปิดชั่วคราว หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาต รวมถึงต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 10,000-50,000 บาท” รอง ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติกล่าวต่อว่า และ 4.การที่ผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ปล่อยให้ส่งยาเสพติดผ่านผู้ประกอบการรายเดิมซ้ำๆ และทางการสืบสวนขยายผลพบว่าเหตุดังกล่าวส่อถึงพฤติกรรมให้ความช่วยเหลือสนับสนุนฯ จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. มาตรการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 2534 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อาจรวมถึง การยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบตาม พ.ร.บ.มาตรการต่างๆ ส่วนการแก้ไขระยะยาวจะเสนอแก้กฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัยและครอบคุมทุกส่วน

“ถึงแม้บริษัทผู้ประกอบการต่างๆจะมีมาตรการตรวจสอบบัตรประชาชนหรือสแกนพัสดุแล้ว แต่ยังมีผู้ประกอบการบางรายอ้างว่า หากเปิดพัสดุลูกค้าตรวจสอบจนทำให้เสียหายจะถูกผู้ใช้บริการฟ้องร้อง จึงไม่กล้าเปิด ในส่วนนี้ทำให้ยังมีผู้ลักลอบใช้เป็นช่องทางขนส่งยาเสพติด ผู้ประกอบการที่เป็นตัวกลางรับส่งพัสดุจะอ้างไม่รู้เห็นไม่ได้ ทั้งที่มีเครื่องมือและวิธีการตรวจสอบอยู่แล้ว อีกทั้งผู้ส่งพัสดุต้องยืนยันให้ชัดเจนว่า ของที่ส่งไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย วันนี้จะประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางป้องกันและการดำเนินการทางกฎหมายอย่างจริงจัง” พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติกล่าว

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติกล่าวด้วยว่า ส่วนกรณี พ.ต.ท.พิเชษฐ เสาแบน หรือสารวัตรแย้ ตำรวจท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่ ได้รับพัสดุที่ภายในมียาเสพติดส่งไปให้ที่บ้าน มารดารับไว้ก่อนถูกจับกุมนั้น ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ส่งพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมและการสืบสวนทั้งหมดให้ตำรวจภูธรภาค 6 (บช.ภ.6) ฐานะเจ้าของคดี นำไปสืบสวนเพื่อสรุปว่าจะดำเนินคดีผู้ใดได้บ้าง พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมพยานหลักฐานให้มากที่สุด ยืนยันว่าต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย หลังจากนี้จะมอบหมายให้ พล.ต.ท.พรหมธร ภาคอัต ผู้ช่วย ผบ.ตร. รับผิดชอบกำกับดูแลสำนวนการสอบสวนเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมมากที่สุด

...

หลังการประชุมนานกว่า 1 ชม.ครึ่ง พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ออกมากล่าวว่า ปัจจุบันพบว่ามีผู้ใช้บริการส่งพัสดุมากขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะการส่งสินค้าที่ว่าจ้างผ่านออนไลน์ระหว่างผู้ส่งและพนักงานส่งโดยตรงทำให้ตามตัวยาก หลังจากนี้ต้องดำเนินการทำงานให้รัดกุมมากขึ้นเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด โดยเฉพาะการบันทึกข้อมูลและภาพวงจรปิดให้มีระยะเวลา 180 วัน เพื่อให้ขยายผลถึงตัวผู้ส่งกรณีกระทำผิด ส่วนนี้ผู้ประกอบการขนส่งและเจ้าหน้าที่รัฐต้องปรับการทำงานเข้าหากัน เพราะยังมีอุปสรรคเรื่องพัสดุมีจำนวนมาก ทำให้ตรวจสอบไม่หมด ต้องนำเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าอบรมให้ความรู้หากตรวจพบของต้องสงสัย หากผู้ประกอบการปล่อยปละละเลย หรือมีส่วนร่วมกระทำผิด จะถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.มาตรการป้องกันปราบปรามยาเสพติด

ด้านนายกำพุธ อยู่คง ผู้ช่วยผู้จัดการบริหารด้านระบบบริการบริษัทไปรษณีย์ไทย กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยมีมาตรการตรวจคัดกรองสิ่งของตั้งแต่ต้นทาง เจ้าหน้าที่จะตรวจพิรุธจากใบหน้าผู้ถือบัตรประชาชนว่าตรงกับตัวผู้ส่งหรือไม่ เพื่อบันทึกใน ฐานข้อมูล สามารถใช้ติดตามทางคดีได้ ที่ทำการไปรษณีย์ยังมีกล้องวงจรปิดคอยจับภาพผู้มาใช้บริการ และจะตรวจข้อมูลที่จ่าหน้าพัสดุว่าชัดเจนเพียงใด พร้อมสอบถามว่า สินค้าที่ส่งเป็นอะไร หากพบพิรุธและผู้ส่งปฏิเสธไม่ให้ตรวจสอบจะไม่ดำเนินการส่งให้ เช่นเดียวกับกรณีผู้ใช้บริการฝากส่งของที่แพ็กมาเองจากบ้าน หากเจ้าหน้าที่ตรวจดูแล้วหีบห่อไม่แข็งแรง จะแนะนำให้เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เป็นของไปรษณีย์แทน เชื่อว่าสาเหตุที่มีผู้ลักลอบขนส่งสิ่งผิดกฎหมายทางไปรษณีย์น่าจะมาจากมาตรการของตำรวจ-ทหารที่เข้มงวด ทำให้ผู้กระทำผิดหาช่องทางส่งทางไปรษณีย์ไทย ที่ยังไม่เป็นที่นิยม เพราะต้องแสดงตัวและถูกบันทึกข้อมูลทั้งผู้รับผู้ส่ง นอกจากนี้เรายังเชื่อมข้อมูลต่างๆกับภาครัฐให้ตรวจสอบได้ทันที

...

นายศราวุธ สงวนสัตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทั่วไป บริษัทนิ่มเอ็กซ์เพรส จำกัด กล่าวว่า ฐานะที่เราเป็นบริษัทเอกชนที่ให้บริการด้านขนส่งมีมาตรการหลักคือ จะไม่รับส่งของหากผู้ส่งไม่มีบัตรประชาชน แต่ยอมรับว่าบริษัทเอกชนส่วนมากไม่มีเครื่องเอกซเรย์สิ่งของเนื่องจากราคาสูง ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่ทำให้มีผู้ลักลอบส่งของผิดกฎหมาย ที่สำคัญบริษัทเอกชนไม่มีสิทธิ์แกะสิ่งของตรวจสอบ หากพบพิรุธต้องริบไว้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ อีกทั้งใน 1 วันมีพัสดุต้องส่งจำนวนมาก หากมาแกะตรวจและปิดผนึกดังเดิมทั้งหมดจะไม่ทันกำหนดส่ง อย่างไรก็ตาม การประชุมวันนี้นับเป็นเรื่องดีที่ได้พูดคุยถึงปัญหาข้อบังคับต่างๆของแต่ละหน่วยงานที่ไม่ตรงกัน