ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำคุก 10 ปี "สัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา" ปาเกียวเมืองไทย อดีตประธานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ ปลอมตั๋วเงิน ตุ๋น สกสค. กู้เงินกว่า 3 พันล้าน
เวลา 09.00 น. วันที่ 3 มี.ค. ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เจ้าหน้าที่เรือนจำได้เบิกตัว นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ "ปาเกียวเมืองไทย" อดีตประธานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ จำเลยในคดี "ฉ้อโกง" เพื่อมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีดำ อ.1134/59 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือปาเกียวเมืองไทย อดีตประธานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ เป็นจำเลยในความผิดฐานปลอม และใช้ตั๋วเงินปลอม ที่ห้องพิจารณา 811
จากกรณีระหว่าง 21 ธ.ค.56 - 21 ก.ค.57 จำเลยกับบริษัท บิลเลี่ยน อิโนเวเทค กรุ๊ป จำกัด ร่วมกันปลอมตั๋วแลกเงิน หรือดราฟต์ของธนาคารฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ แบงค์กิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อไปใช้อ้างต่อ สำนักงานสวัสดิการ และสวัสดิภาพบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ว่าเป็นตั๋วแลกเงินที่แท้จริงจากธนาคารฮ่องกงฯ ที่ออกคำสั่งจ่ายเงินตามคำสั่งของสำนักงาน สกสค.ผู้เสียหายจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (3,200 ล้านบาท) ยึดถือไว้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันตั๋วสัญญา ใช้เงินของบริษัทบิลเลี่ยนฯ ที่จำเลยนำมาหลอกลวงขายให้แก่ สกสค.โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนสนับสนุนพิเศษ และส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ สมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.)
คดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 61 ให้ลงโทษ นายสัมฤทธิ์ จำเลย ฐานใช้ตั๋วเงินปลอม 10 ปี ต่อมานายสัมฤทธิ์ยื่นอุทธรณ์สู้คดี วันนี้ ได้เบิกตัวนายสัมฤทธิ์ ที่ไม่เคยได้รับการประกันตัว จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อมาฟังคำพิพากษา
เมื่อถึงเวลาศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลอมตั๋วเงิน และได้ลาออกก่อนที่ ช.พ.ค. จะโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทนั้น ตามข้อเท็จจริงปรากฏหลักฐานว่า เมื่อทาง ช.พ.ค. ได้มีการโอนเงินเข้ายังบัญชีบริษัทประมาณ 1,200 ล้านบาทแล้ว บริษัทได้มีการโอนเงินไปยังบัญชี จำเลย 40 ล้านบาท และมีการถอนเงินจากบัญชีบริษัทอีกจำนวน 120 ล้านบาท ในช่วงเวลาที่จำเลยอ้างว่าได้ลาออก อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยในลักษณะเร่งรีบ ในช่วงเวลาที่มีเงินเข้าบัญชีบริษัทเป็นจำนวนมาก และยังแสดงให้เห็นว่าจำเลยยังมีส่วนบริหารในบริษัทอยู่ มิฉะนั้นจะไม่มีการโอนเงินจำนวนมาก
...
ขณะที่ในการทำหนังสือเพื่อยืนยันกับ ช.พ.ค. ก็มีจำเลยร่วมลงชื่อเป็นพยานและเป็นผู้ค้ำประกันด้วย จึงย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยยังทำหน้าที่เป็นกรรมการบริหารบริษัท เพราะหากจำเลยลาออกแล้วไม่มีเหตุผลที่บริษัทจะโอนเงินจำนวนมากขนาดนี้ให้ เห็นได้ว่าการลาออกของจำเลยเป็นการสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง ที่จำเลยอ้างว่าไม่ได้ทำการอาวัลตั๋วและไม่ได้ร่วมปลอมกับใช้ตั๋วสัญญาที่ปลอมขึ้น และการกระทำต่างๆ ตามฟ้องนั้น ล้วนเป็นการกระทำขึ้นหลังจากที่จำเลยลาออก ก็ฟังไม่ขึ้น พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยร่วมรู้เห็นกับบริษัทร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วแลกเงิน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ญาติของนายสัมฤทธิ์ ได้เดินทางมารอลุ้นผลการอุทธรณ์คดีในวันนี้ด้วย โดยระหว่างฟังคำพิพากษา นายสัมฤทธิ์ ก็มีสีหน้าเรียบเฉยตลอดการพิจารณา