ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ย้อนกลับไปในปี 2546 มีข่าวใหญ่โต สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการมวยไทย ภายหลังจากนักมวยคนดัง อนาคตไกล และเป็นดาวรุ่งที่มีฝีไม้ลายมือยอดเยี่ยมเตรียมขึ้นชกกับคู่ปรับคนสำคัญ ซึ่งเวทีนับว่าเป็นการชกที่แฟนมวยไทยต่างตั้งตารอให้ทั้งคู่หวดหมัด เข่า ศอก วัดความเป็นหนึ่งกันไปอย่างลูกผู้ชายตัวจริง

และนักชกบนเวทีนี้ก็คือ “แซมซั่น ลูกเจ้าพ่อมเหศักดิ์” ขึ้นชกกับ “พาลี ศิษย์มนต์ชัย” ในรายการ “ศึกเพชรยินดี” ที่เวทีมวยลุมพินี แต่พอถึงเวลาขึ้นชก สิ่งที่แฟนมวยคาดหวัง กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด ฝีไม้ลายมือในการชกของแซมซั่น ดูแปลกกว่าที่เคยและอ่อนหัดกว่าที่เป็น...

การชกครั้งนี้ ไม่สมศักดิ์ศรี จนแฟนมวยเกิดคับข้องใจว่า “นี่เป็นการล้มมวยหรือไม่?” กรรมการบนเวที จึงยุติการชกแล้วไล่ลงจากเวทีในยกที่ 5 และแจ้งความจับ นายสนิท ติยะเมธา หรือ “แซมซั่น ลูกเจ้าพ่อมเหศักดิ์” พร้อมส่งตัวเข้าคุกในคืนเดียวกันนั้นเลย

...

วันถัดมา แซมซั่น มีโอกาสได้พบสื่อ และเปิดใจถึงเรื่องนี้ด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า ตนต้องการเงินไปรักษาแม่ที่แก่ชรา และป่วยเป็นนิ่วในไต พร้อมกับเป็นโรคเบาหวาน มาประมาณ 2 ปีแล้ว ไม่มีเงินไปรักษา จึงรับปากกับเทรนเนอร์ในค่ายของแซมซั่นวัย 22 ปี ซึ่งมาติดต่อโดยแจ้งว่า มีคนชื่อเจียวมาจ้างให้ล้มมวย โดยให้ค่าจ้างจำนวน 200,000 บาท หลังจากลงเวทีแล้ว คนชื่อ “เจียว” จะนำเงินมาให้ภายหลัง

และแซมซั่น ยังเผยอีกว่า อนาคตเมื่อจบคดีแล้ว คงกลับไปชกมวยไม่ได้ จึงคิดจะใช้ชีวิตเป็นชาวนา ชาวไร่ที่บ้านเกิด จ.ร้อยเอ็ด

ขณะเดียวกัน ร้อยเวร สน.ลุมพินี ได้เปิดเผยว่า เบื้องต้น แซมซั่น รับสารภาพกับโปรโมเตอร์ว่า ล้มมวยจริง จึงแจ้งข้อหา ยอมรับทรัพย์สิน เพื่อกระทำการล้มมวย มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตามจะต้องสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อออกหมายจับผู้อยู่เบื้องหลังการล้มมวยในครั้งนี้ทุกคน

ขณะที่ เสี่ยเน้า โปรโมเตอร์ผู้จัดศึกเพชรยินดี ระบุว่า ความจริงแล้วมารดาของแซมซั่นไม่ได้ป่วยเป็นอะไรทั้งสิ้น เขาอยากได้เงินไปเปิดโต๊ะสนุ้กเกอร์ที่จังหวัดร้อยเอ็ด

ไม่กี่วันต่อมา สื่อหลายสำนักเดินทางไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่บ้านแม่ของแซมซั่น วัย 40 ปี โดยพบว่า เป็นบ้านไม้เก่าๆ ริมถนน มีต้นมะขามที่หน้าบ้าน ภายในบ้านมีตู้ไม้อัดสำหรับเก็บถ้วยรางวัลแห่งความภาคภูมิใจของแชมป์บนสังเวียนผ้าใบ และโทรทัศน์สี 21 นิ้วที่ซื้อจากน้ำพักน้ำแรงของแซมซั่น

ยายของแซมซั่น เมื่อทราบข่าวหลานชายถูกดำเนินคดีเรื่องล้มมวย ก็ตกอยู่ในอาการเศร้าโศก พูดพลางน้ำตาไหลว่า หลานชายต้องต่อยมวยเลี้ยงครอบครัว เจ็บตัวแล้วต้องติดคุกอีก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมาหายายได้และไม่รู้ว่าจะได้เห็นหน้าหลานชายอีกหรือไม่

11 เดือนถัดมา ศาลอ่านคำพิพากษาคดีล้มมวยในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสนิท ติยะเมธา อดีตนักมวยไทยชื่อดัง "แซมซั่น" ลูกเจ้าพ่อมเหศักดิ์ "เป็นจำเลย" ในความผิดฐานรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ให้ทำการล้มมวย ตาม พ.ร.บ. กีฬามวย พ.ศ. 2545 กรณีที่จำเลยยอมรับเงินจำนวน 2 แสนบาท แล้วจำเลยได้แสร้งชกกับนายสำนวน สังพาลี หรือ "พาลี ศิษย์มนต์ชัย" เพื่อให้กรรมการยุติการชกเนื่องจากชกไม่สมศักดิ์ศรี จนทำให้พ่ายแพ้ในศึกเพชรยินดี ที่สนามมวยลุมพินี

...

โดยชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ ว่าต้องการนำเงินไปรักษาแม่ที่ป่วยหนัก แต่มาปฏิเสธสู้คดีในชั้นศาลอ้างว่าไม่มีเจตนาเพราะมีอาการเจ็บหัวเข่า ทั้งกินยาขับเหงื่อ และวิ่งออกกำลังกาย เพื่อลดน้ำหนักจนร่างกายอ่อนเพลีย ที่รับสารภาพเพราะถูกบังคับขู่เข็ญ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้ว เห็นว่าพยานโจทก์หลายปากอยู่และร่วมชมการชกมวยในวันเกิดเหตุ โดยเฉพาะพยานที่เป็นกรรมการผู้ห้ามบนเวที และกรรมการผู้ให้คะแนนตั้งแต่แรกจนยุติการชก ย่อมต้องสังเกตและจดจำถึงลักษณะการชก การใช้ศิลปะแม่ไม้มวยไทย การเข้าต่อสู้และท่วงท่าต่างๆ

...

หากจำเลยเหน็ดเหนื่อยเพราะกินยาขับเหงื่อก็น่าจะบอกผู้ดูแลว่า ไม่อยู่ในสภาพพร้อมชก ส่วนอาการเจ็บเข่าก็ไม่ปรากฏว่าหลังการชกจำเลยได้ไปพบแพทย์อย่างจริงจัง และที่อ้างว่าถูกบังคับขู่เข็ญให้รับสารภาพในชั้นสอบสวน แต่ตามคำเบิกความของจำเลยระบุว่า สามารถอ่านออกเขียนได้ ก็ไม่ควรเซ็นชื่อรับสารภาพ ทั้งลักษณะการชกของจำเลยในยกที่ 5 ผิดปกติจากนักมวยทั่วไป ข้ออ้างจำเลยไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง จึงพิพากษาจำเลยฐานรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ทำการล้มมวย ตาม พ.ร.บ.กีฬามวย พ.ศ. 2545 มาตรา 50, 58 จำคุก 1 ปี ปรับ 45,000 บาท คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 30,000 บาท จำเลยไม่เคยต้องโทษมาก่อน และกระทำผิดขณะอายุยังน้อย จึงให้โอกาสกลับตัว และเลี้ยงดูมารดา โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้กำหนด 2 ปี

ภายหลังรับฟังคำพิพากษา "แซมซั่น" กล่าวขอความเห็นใจเพียงสั้นๆ ว่า เรื่องการชกมวย หากโปรโมเตอร์ให้โอกาสอีกครั้งตนก็พร้อมจะกลับขึ้นเวที เพราะขณะนี้มีรายได้เล็กน้อยจากการช่วยแม่ขายของอยู่ที่บ้านที่ อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด.

...