หัวใจหลักของนักเตะทีมชาติไทย ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีก่อน เชื่อว่าแฟนพันธุ์แท้บอลไทยทุกคนยังจำเขาคนนี้ได้ “ดำดินปืน” นที ทองสุขแก้ว กองหลังที่ฝีเท้าฉมังสุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา จุดเริ่มต้นก่อนจะก้าวกระโดดขึ้นสู่มืออาชีพ ของนักฟุตบอลโรงเรียนในจังหวัดอุตรดิตถ์ "นที ทองสุขแก้ว" ไม่พลาดโอกาสที่จะต่อยอดความฝัน ก้าวกระโดดติดทีมชาติไทย กลายเป็นยอดเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ตั้งแต่วัยเพียง 17 ปี

เขาเป็นใคร แฟนบอลรุ่นใหม่ รู้จักไหม? 

"นที ทองสุขแก้ว" เข้าร่วมทีมชาติไทยครั้งแรกสมัยเล่นให้กับ "ถาวร ฟาร์ม" ประมาณปี พ.ศ.2528 โดยในยุคนั้นมียอดเซ็นเตอร์ฮาล์ฟอย่าง “น้าอำ” อำนาจ เฉลิมเชาวลิต กับ ณรงค์ อาจารยุตต์ ต่อมา "ณรงค์ อาจารยุตต์" เกิดอาการป่วย กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต ทำให้ "นที" ทำหน้าที่แทนต่อ เกิดเป็นตำนาน "กองหลังหมายเลข 7" ติดธงยาวนาน 15 ปี คว้าเหรียญทองซีเกมส์ 3 ครั้ง, อันดับ 4 เอเชียนเกมส์ ส่วนรายการอย่าง เอเชียน คัพ, ปรี โอลิมปิก, คิงส์คัพ ถือว่าไม่เคยพลาด

ต่อมา "วิทยา เลาหกุล" ได้ชักชวนไปเล่นสโมสรฟุตบอล มัตซึสิตะ หรือกัมบะโอซากา ที่ญี่ปุ่น ก่อนตัดสินใจแขวนสตั๊ด เมื่ออายุได้ประมาณ 34 ปี หรือปี พ.ศ.2543 ว่ากันว่า "เขา คือ ปราการหลังที่ดี และครบเครื่องที่สุดคนหนึ่ง แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดเป็นโค้ชเลย… ทุกวันนี้ "นที ทองสุขแก้ว" กลายเป็นกองหลังระดับตำนานกัปตันทีมชาติไทย เล่นระบบสวีปเปอร์คนท้ายๆ ของทีมชาติไทย ตามระบบฟุตบอลในสมัยนั้น เป็นสไลต์ดักทางบอล ซึ่งถ้ามีการเก็บสถิติเป็นทางการ ฝีไม้ลายมือติดทีมชาติเกิน 100 นัด น่าจะได้

...

จุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งในชีวิตของ "นที ทองสุขแก้ว" เป็นเพราะ ปรมาจารย์ลูกหนังเมืองไทย ที่ชื่อว่า “วิทยา เลาหกุล” เมื่อประมาณปี พ.ศ.2532 ซึ่งเป็นโค้ชอยู่ที่ มัตสึชิตะ ทีมในญี่ปุ่น จากนั้นได้มีการแนะนำประธานสโมสรว่า ให้มา "นที" เล่นให้ทีมชาติไทย ตอนนั้น ประธานสโมสรก็ได้เดินทางมาดูเขา ควบคู่ไปกับดู ออสการ์ นักเตะทีมชาติบราซิล ที่เล่นอยู่กับทีม “นิสสัน มอเตอร์ส” จากนั้นเขาชอบในฝีเท้าการเตะของนที จึงได้ดึงตัวไปร่วมทีม

เบนเข็มทิศชีวิต เพราะต้องการเก็บเงินช่วยครอบครัว 


“ผมอายุประมาณแค่ 22 ปีเอง เล่นอยู่สโมสรตำรวจ แล้วพอรู้ว่า เขาจะดึงตัวไปร่วมทีมที่ประเทศญี่ปุ่น ก็รู้สึกตื่นเต้น อีกอย่างผมไม่เคยไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวนานๆ อย่างมากก็คือ ช่วงเก็บตัวกับทีมชาติไทย ตอนนั้นมันมีเรื่องที่ครอบครัวของผมเอาโฉนดที่ดินไปจำนอง เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนใช้จ่าย แล้วทางสโมสรเขารู้ ก็เลยนำเงินก้อนหนึ่งมาจ่ายให้ ซึ่งตรงจุดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจไปเล่นที่ต่างประเทศ เพราะเหมือนกับได้ทำเพื่อครอบครัวแล้วจริงๆ ผมเริ่มต้นทุกอย่างใหม่หมด ตั้งแต่ก้าวขาลงสู่ประเทศญี่ปุ่น ต้องเร่งปรับสภาพความฟิต เพื่อให้ทันเพื่อน และเตรียมพร้อมกับการลงสนาม รวมถึงต้องปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ และ ภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผมไม่เคยคิดจะหัดพูดมาก่อน”


ฝีไม้ลายมือ พรสวรรค์ในการยืนแนวรับที่สุดยอดของนที ทำให้การปรากฏกายในทีม "มัตสึชิตะ" ภายใต้การนำทัพของโค้ชเฮง เพียงแค่เปิดฤดูกาลแรกมา เขาก็สร้างความฮือฮาได้ทันที ด้วยการอยู่ในทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ได้ถึง 7 ครั้ง จาก 11 สัปดาห์ที่ลงสนามในเลกแรก

"ช่วงปีแรกที่ญี่ปุ่น เขาได้เป็นผู้เล่นอยู่ในทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ ตั้ง 7 ครั้ง ใน 11 แมตช์แรก จริงๆ แล้วพอสิ้นปี เขาก็จะมีการจัดทีมรวมดาราของทีมจากภาคเหนือ ภาคใต้ มาแข่งกัน นที ก็ติดทีมรวมดาราด้วย แต่ไม่ได้ไปแข่ง เพราะดันมาเจ็บกล้ามเนื้อฉีก ตอนรอบรองชนะเลิศ ที่ ซีเกมส์ ปี 2532 ที่มาเลเซีย เลยอดไปแข่ง"

ตัดสินใจหันหลังวงการบอลไทย รับราชการตำรวจ 

"แก่แล้ว ผมวิ่งไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นผมมารับราชการตำรวจแล้วด้วย งานในหน้าที่ก็หนักนะ ทุ่มเทกับการซ้อมไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน สู้เด็กใหม่ๆ ไม่ได้ อีกอย่างคืออายุเรามันถึงเวลาที่ต้องหยุด แล้วมาตั้งหน้าตั้งตาทำอาชีพตำรวจอย่างเต็มตัว ปัจจุบันติดยศ พ.ต.ท. รับราชการเป็น รองผู้กำกับ ตม. อยู่ฉะเชิงเทรา ผมรับราชการมาตั้งแต่ พ.ศ.2530 สมัยเข้ามาเล่นฟุตบอลให้ทีมตำรวจ โดยมี "ชัยยง ขำเปี่ยม" อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติไทย ชักชวนมา จากนั้นก็ติดยศเลื่อนขั้นมาเรื่อยๆ ตามผลงาน ผู้บังคับบัญชาเป็นคนพิจรณา ผมรักอาชีพตำรวจมากนะ และตั้งใจจะทำให้ดีที่สุดจนกว่าจะเกษียณอายุราชการ"

พูดถึงทีมชาติไทยชุดนี้ 

"เอาจริงๆ คือผมไม่รู้จักเลยสักคน เป็นรุ่นลูก รุ่นเหลนกันไปหมด รู้จักจริงๆ ก็โค้ชที่สอนเขา บางคนเห็นนามสกุลก็รู้แล้วว่าเป็นลูกของเพื่อนที่เคยเตะบอลทีมเดียวกัน ผมว่าเด็กรุ่นนี้เขาเก่งนะ พัฒนาว่องไว และมีทักษะส่วนตัวที่ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ ก็ถือว่าเก่งทุกคน ติดตามดูตลอดทุกครั้งที่ทีมชาติไทยลงแข่ง แล้วก็ให้กำลังใจ อยากให้เราชนะ นำชื่อเสียงสู่ประเทศชาติ"

...

นัดที่เตะกับบาห์เรน อินเดีย 

"อินเดียที่ว่าหมูๆ สุดท้ายก็ไม่หมูนะ ต้องยอมรับว่าเขาเล่นดีมาก ยอดเยี่ยมนะ เหนือความคาดหมาย ซึ่งนี่ก็ถือเป็นบทเรียนที่ทีมชาติไทยต้องเอาไปแก้ไขปรับปรุง ปิดช่องไม่ให้เขาทำประตูชนะเรา ส่วนนัดที่เตะกับบาห์เรน ผมว่าการเตะมันดูมีทรงกว่า นักบอลไทยสติมา ปัญญา ความสามารถมันก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ เมสซี่เจ เขาเก่งนะ ผมไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ก็ติดตามดูผลงานมาตลอด ผมขอเป็นกำลังใจให้ทั้งทีม เพื่อคว้าชัยชนะนำชื่อเสียงสู่ประเทศชาติ" 

ประเมินเกมที่จะลงสนามกับยูเออี วันนี้  

"สมัยผมไม่เคยชนะเลยนะ เขาแข็ง เขาเก่ง วันนี้ทีมไทยไปเล่นในบ้านเขาด้วย กำลังใจเขาคงเหลือล้น ส่วนน้องๆ ทีมไทย ก็ขอให้ตั้งสติดีๆ อย่าไปกลัว สู้เขา ถ้าเรานำก่อนสักลูกนึง ก็มีลุ้นต่อ รู้ไว้เลยว่า คนไทยทั้งประเทศเชียร์อยู่ ถึงไม่ได้นั่งติดขอบสนาม แต่ส่งใจกันไปทั้งประเทศ รวมทั้งผมเองด้วย สู้ๆ นะ" 

...