"ที่ไหนบนโลกก็แล้วแต่ ความชั่วร้ายและอาชญากรรมจะถูกปิดซ่อนอยู่เบื้องหลังเสมอ ยิ่งสังคมมีการพัฒนามากขึ้น อาชญากรรมก็จะพัฒนาตามเหมือนเป็นเงาตามตัว หรือสังคมที่มีการเติบโตมากขึ้น คนเยอะมากขึ้น แนวโน้มของอาชญากรรมก็จะเพิ่มมากขึ้น ลองคิดตามดูนะครับ หากไม่มีตำรวจผู้รักษากฎหมาย คนทุกคนก็จะทำตามอำเภอใจ ตามสัญชาตญาณ สังคมจะวุ่นวายขนาดไหน?"
เพราะความจริงมีเพียงสิ่งเดียว และอาจเป็นความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย จะเพราะเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ จากผลสำรวจ กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของคนเกือบทุกประเทศทั่วโลก ประชาชนมีทัศนคติแง่ลบ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ซึ่งบังคับใช้กฎหมายให้อยู่ในกรอบระเบียบ... หมวดเติ๊ก "ร้อยตำรวจโท พากฤต กฤตยพงษ์ รอง สว.กวท.สส. ช่วยราชการ ผช.นว.พตร. (สบ 1)" ให้เกียรติ "Police Community" เปิดความคิดสะท้อนข้อเท็จจริง กับมุมมองคมกรีดหัวใจคนไม่รักตำรวจ... เรามาทำความรู้จักเขาไปพร้อมๆ กันค่ะ
ฟันดาบเยาวชนทีมชาติ คิดแผนยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์ ลดเหตุอาชญากรรม
ผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนจิตรลดา จากนั้นเรียนต่อระดับปริญญาตรีสาขานิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรังสิต จบปริญญาโท สถาบันอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรมจากมหาวิทยาลัยรังสิต จากนั้นก็มาสอบเป็นนักเรียนอบรม กอส.รุ่นที่ 40 กว่าจะมาเป็นตำรวจ ผมได้ใช้ชีวิตและทำงานที่ใจรักมาหลายอย่าง สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดคือ การได้เป็นนักกีฬาฟันดาบเยาวชนทีมชาติระหว่างเรียน ก่อนหน้านี้เคยทำงานที่กรมประชาสัมพันธ์ ทำหน้าที่ทางด้านนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์ ศึกษาเกี่ยวกับแผนนโยบายและยุทธศาสตร์ของการประชาสัมพันธ์ นำมาปรับใช้ในการลดปัญหาอาชญากรรม เพราะเชื่อว่าพลังของการประชาสัมพันธ์จะสามารถทำให้เหยื่ออาชญากรรมในสังคมนั้นลดลง
...
"ต่อมาผมมีโอกาสเข้าไปช่วยทีมงานรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในด้านของการสืบสวนสอบสวนและคดีต่างๆ ซึ่งทำให้ได้มีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถที่ได้เรียนมาเพื่อช่วยเหลือประชาชน และยังได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ในด้านของการสืบสวนเพิ่มมากขึ้น ก่อนจะตัดสินใจสอบเข้าเป็นตำรวจ เพราะค้นพบว่าตัวเองเหมาะสมกับการทำอาชีพนี้ที่สุด"
ชอบวงการบันเทิง เคยประกวดบอยแบนด์
สมัยเป็นวัยรุ่น ผมเชื่อว่าเด็กๆ ทุกคนต้องอยู่ในเทรนด์ตามกระแส บางคนชอบร้องเพลง มีนักร้องขวัญใจ บางคนอยากเป็นดารา อยากเป็นนักกีฬา ผมว่าส่วนใหญ่เลยต้องผ่านความฝันแบบนี้มา ตัวผมเองสมัยนั้นเคยประกวดโปรเจกต์ s club มันเป็นโปรเจกต์ของสยามเซ็นเตอร์ ที่จะคัดเลือกไอดอลของกลุ่มวัยรุ่นสมัยนั้น ผมติด 1 ใน 20 แล้วก็ได้รางวัลป็อบปูลาร์โหวต
ชีวิตคือการพัฒนาเรียนรู้และปรับใช้ให้เกิดความชำนาญ
เลือกมาเป็นตำรวจ ไม่ใช่เพราะฝันอยากจะเป็นตำรวจเหมือนคนทั่วไปตั้งแต่เด็กๆ แต่ผมอยากเป็นอะไรก็ได้ที่จะช่วยเป็นหนึ่งในฟันเฟืองเพื่อผลักดันให้สังคมไปในทิศทางที่ดี และคนในสังคมมีความสุข ผมพยายามหาเส้นทางหลายๆ เส้นทาง เรียนรู้งานหลายๆ อย่างได้ หลายศาสตร์และหลายสาขา จนมาพบกับศาสตร์ของอาชญาวิทยา ที่ว่าด้วยเรื่องของการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหาอาชญากรรม จึงค้นพบว่าตัวเองอยากเป็นผู้รักษากฎหมาย
...
ถ้าถามว่าหน้างานที่ผมทำอยู่ตอนนี้ เหมาะสมกับความสามารถของผมรึเปล่า ผมทำได้หมดครับ เพราะผมมองว่า ชีวิตของมนุษย์คือการเรียนรู้ ยิ่งการที่ตัวเราได้อยู่ในจุดที่ที่เราไม่รู้ และได้รับรู้สิ่งนั้นจากคนอื่น คือสิ่งที่มีค่ามากกว่าการที่เราได้อยู่ในจุดที่เรารู้แล้วมากกว่า และเหนือกว่าสิ่งนั้นคือการที่เราได้ประยุกต์และปรับใช้จากสิ่งที่เรามี มาสร้างเป็นสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเป้าหมายที่เราวางไว้
"ตำรวจ" ขับเคลื่อนสังคมไม่ได้
หน้าที่ของผมในการเป็นตำรวจคือ "ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด" ผมรักสังคม รักประเทศไทย รักความถูกต้อง ผมเลือกที่จะมาเป็นตำรวจเพราะใจรัก ด้วยความหวังอยากจะให้สังคมสงบสุข ศัตรูของความสุขสำหรับผม ผมว่ามันคือปัญหาอาชญากรรม คงดีมากๆ หากประชาชนเปลี่ยนความเกลียดชังที่มีต่อตำรวจ มาเป็นพลังช่วยเหลือสังคมของเราให้ขับเคลื่อนไปได้
เพราะตำรวจ ไม่ใช่อาชีพหลักในการขับเคลื่อนสังคม สังคมจะดีได้ อาชญากรรมร้ายๆ จะบรรเทาลงไป ไม่ใช่เพราะเกิดจากคนหนึ่งคนใด หรือเกิดจากองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เกิดจากการร่วมมือของคนทุกคนในสังคม ซึ่งเปรียบเสมือนฟันเฟืองหมุนรวมกัน เพื่อให้สังคมของเราขับเคลื่อนไปได้อย่างมีคุณภาพ
...
ปฏิรูปตำรวจต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ
ก่อนที่จะมีการปฏิรูปตำรวจ หรือก่อนที่เราจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง เราควรต้องหันมาดูว่า เราขาดอะไร และโลกในปัจจุบันนั้น หมุนไปอย่างไร โดยนำงานวิจัยต่างๆ มาอ้างอิงถึงผลลัพธ์ ตามโจทย์ที่เราต้องการจะเปลี่ยนแปลง นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สักแต่ว่าปฏิรูปเฉยๆ ไม่ได้ ต้องวิเคราะห์ด้วยว่า ปฏิรูปออกมา ผลดี ผลเสีย จะเป็นอย่างไร ชีวิตอนาคตตำรวจทั้งประเทศ เอามาทดลองเล่นๆ ไม่ได้ ทุกๆ อย่างควรที่จะค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ถ้าอันไหนมันพลาดจะได้แก้ทัน ไม่ต้องดันทุรังไปต่อครับ
จะที่ไหนๆ บนโลก อาชญากรรมมักถูกปิดซ่อนอยู่เบื้องหลังสังคมเสมอ สังคมพัฒนามากขึ้น อาชญากรรมก็จะพัฒนาตามเหมือนเป็นเงา การเติบโตมากขึ้น คนเยอะมากขึ้น แนวโน้มของอาชญากรรมก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นธรรมชาติของสังคมมนุษย์ "ลองคิดตามดูนะครับ ถ้าเกิดว่า ไม่มีผู้รักษากฎหมาย คนทุกคนก็จะทำตามอำเภอใจ ตามสัญชาตญาณ และสังคมจะวุ่นวายขนาดไหน ทั้งหมดคือเหตุผลว่าทำไมทุกคนบนโลกใบนี้จำเป็นต้องมีตำรวจ
...
สื่อโซเชียลอันตราย ส่งผลกระทบออกมาสู่สังคมรอบนอก
สิ่งที่อยากจะฝาก คือ อยากให้คนไทยทุกเพศทุกวัยใช้สื่อโซเชียล อย่างมีสติครับ เพราะทุกวันนี้สื่อโซเชียลทำให้เกิดความวุ่นวาย จนส่งผลกระทบออกมาสู่สังคมจริงๆ อยากให้ใช้สื่อโซเชียลให้เกิดประโยชน์กับตัวเองและสังคม มากกว่าที่จะทำเพื่อสร้างความเกลียดชังขึ้นในสังคม
ในฐานะที่ผมเป็นตำรวจ สิ่งไหนที่ประชาชนไม่ชอบ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ผมทำดีอยู่แล้ว ผมก็จะไม่เปลี่ยนและตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ทั้งหมดทั้งปวงผลที่ออกมาก็ล้วนแล้วเพื่อประชาชน... ตำรวจเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของประชาชนอยู่แล้วครับ อย่าเกลียดตำรวจเลย ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ ผมอยากเห็นคนไทยรักตำรวจ เหมือนๆ ที่ตำรวจอย่างผมรักคนไทยทุกคน"
**** เราไม่จำเป็นต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเสมอไป ไม่ต้องวิ่งเพื่อชัยชนะตลอดเส้นทาง ผมมองว่าบางครั้งเมื่อเราเห็นจุดหมายในอนาคตที่เราวางไว้แล้ว ก็ควรวิ่งสลับเดิน เก็บเกี่ยวความสุขระหว่างทาง อย่ากดดันตัวเองจนไม่หลงเหลือความเป็นตัวเอง ขอเพียงมีความตั้งใจ อย่างไรซะก็ถึงจุดหมายอยู่ดี.... สำหรับผม "ถ้าชีวิตไม่มีความสุข การไปถึงจุดหมาย ก็ไร้ความหมาย..."
"Police Community"