“เทพราช-ลลิตยา” 2 ทายาทของอดีตมหาราชาอินเดียที่เกิดกับราชนิกุลสูงศักดิ์ของไทย “ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต” ที่ฟ้องลุงเรียกสมบัติคืนจากมหารานี ผู้เป็น “ย่า” ชนะคดีมรดกบันลือโลกเรียกคืนทรัพย์สินหมื่นล้าน โดยศาลอินเดียพิพากษาให้เป็นผู้ได้สิทธิ์อันชอบธรรม ได้สมบัติกองมหาศาลมาครอง เป็นอันจบสิ้นคดีฟ้องร้องที่ยืดเยื้อยาวนาน

คดีฟ้องร้องเรื่องทรัพย์สินมรดก เป็นที่ฮือฮาระดับโลก โดยราชนิกุลสูงศักดิ์ของไทย ชนะคดีสิทธิในมรดกหมื่นล้านของอดีตมหาราชาอินเดีย ที่เป็นอดีตพระสวามี หลังมีการฟ้องร้องกันมาอย่างยาวนานชนิดเป็นมหากาพย์กับพระมารดาของอดีตพระสวามี จนในที่สุดก็ยุติลงแล้วตามกฎหมาย

เรื่องราวฮือฮาในหมู่สังคมชั้นสูงครั้งนี้ สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษและเว็บไซต์แคทช์นิวส์ของอินเดีย พร้อมใจกันรายงานเมื่อวันที่ 25 ก.ย. ถึงผลการตัดสินคดีฟ้องร้องอ้างสิทธิในมรดกของมหาราชจกัต ซิงห์ แห่งราชวงศ์ชัยปุระ ในรัฐราชสถานของอินเดีย ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปเมื่อปี 2540 โดยศาลฎีกาของอินเดีย ตัดสินให้นายเทพราช ซิงห์ และ น.ส.ลลิตยา กุมารี สองพี่น้องผู้เป็นทายาทของมหาราชจกัต ซิงห์ กับอดีตพระชายาราชนิกุลไทย ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ธิดาคนเล็กของ ม.จ.ปิยะรังสิต รังสิต กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต สายพระโลหิตในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้รับชัยชนะในการยื่นคัดค้านพินัยกรรมของมหารานี คยาตรี เทวี พระชายาองค์ที่ 3 ในมหาราชาสวัย มัน ซิงห์ ที่ 2 แห่งราชวงศ์ชัยปุระ พระราชมารดาในมหาราชจกัต ซิงห์ ผู้ทรงเป็นท่านย่าของนายเทพราชและ น.ส.ลลิตยา เมื่อวันที่ 23 ก.ย.

ทั้งนี้ ผู้พิพากษาศาลฎีกาของอินเดีย ได้ตัดสินยืนคำพิพากษาของศาลกรุงนิวเดลี ซึ่งระบุว่านายเทพราช และ น.ส.ลลิตยา มีสิทธิ์ในสมบัติของมหาราชจกัต ซิงห์ รวมถึงส่วนแบ่งในพระราชวังชัย มาฮาล และพระราชวังรามบักห์ ในเมืองชัยปุระถูกดัดแปลงเป็นกิจการโรงแรมหรูในปัจจุบัน ตลอดจนกิจการอื่น คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 200-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7,000-14,000 ล้านบาท ขณะที่นายเทพราช และ น.ส.ลลิตยา ยื่นฟ้องศาลคัดค้านพินัยกรรมของมหารานี คยาตรี เทวี ที่สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2552 ขณะมีพระชนมายุ 90 พรรษา

...

เนื้อหาในพินัยกรรมของมหารานี คยาตรี เทวี ได้มอบสิทธิ ในการจัดการสมบัติของมหาราชจกัต ซิงห์ ให้แก่คณะกรรมการบริหารบริษัทราม-บักห์ พาเลซ โฮเต็ล พีวีที จำกัด รวมถึงบริษัทอื่นๆ รับหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สมบัติที่สืบทอดมาจากมหาราชาสวัย มัน ซิงห์ ที่ 2 ขณะที่นายเทพราช และ น.ส.ลลิตยา ซึ่งยื่นฟ้องร่วมกัน ระบุว่ามหารานี คยาตรี เทวี ทรงทำพินัยกรรมในขณะที่ทรงมีพระชนมายุมาก ทั้งยังมีสุขภาพอ่อนแอ จนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการพูด จึงอาจถูกแทรกแซง โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายอื่นๆ

ด้านสำนักข่าวเอเอฟพี รายงานอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของนายเทพราช ซิงห์ ระบุว่าช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งตนและน้องสาว เพียงแต่ต้องการทวงถามถึงส่วนแบ่งในกิจการของตระกูลซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมของมหาราชจกัต ซิงห์ ผู้เป็นบิดา แต่ไม่เคยเรียกร้องอะไรนอกเหนือไปจากนั้น ในที่สุดได้มีโอกาสก้าวเข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆที่มีต่อผืนแผ่นดินของบรรพบุรุษได้

สำหรับมหารานี คยาตรี เทวี เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน “สตรีที่สวยที่สุดในโลก” จากการจัดอันดับของนิตยสารโว้ค สื่อด้านแฟชั่นและความงามในโลกตะวันตก ยุคหลังจากอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 2490 แม้ว่าการปกครองในระบอบกษัตริย์และมหาราชาผู้ครองแคว้นต่างๆในอินเดียจะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การใช้ชีวิตอย่างหรูหรามีระดับของมหารานี คยาตรี เทวี ยังคงดำเนินต่อไป ทำให้พระองค์ได้รับการกล่าวขวัญถึงกันอย่างมาก ในแวดวงสังคมระดับโลก ทั้งยังมีการพบปะกับบุคคลสำคัญระดับโลกอีกหลายราย ทั้งราชนิกุลในราชวงศ์อังกฤษ และสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น

นอกจากนี้ มหารานี คยาตรี เทวี ยังได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้เคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนสิทธิสตรีด้วยการก่อตั้งโรงเรียนสตรีในแคว้นชัยปุระ ปัจจุบันกลายเป็นเมืองชัยปุระ เมืองเอกของรัฐราชสถาน ทางภาคตะวันตกของอินเดีย ทั้งยังเป็นสตรีที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองอินเดีย เพราะได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอินเดียในปี 2502 และได้รับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งอีก 2 สมัยซ้อนด้วย

วันเดียวกัน นายปานศักดิ์ รังสิพราหมณกุล คนสนิทของ ม.ร.ว. ปรียนันทนา เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงเรื่องนี้ว่า ม.ร.ว.ปรียนันทนา อดทนสู้คดีนี้มานานถึง 9 ปี เพื่อสิทธิอันชอบธรรมของลูก 2 คน คือเทพราชและลลิตยา โดยเดินทางไปๆมาๆ ระหว่างไทยกับอินเดียตลอดเวลา 9 ปี ที่เป็นคดี

ค่ำวันเดียวกัน ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ซึ่งอยู่ที่ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์มายัง นสพ.ไทยรัฐว่า รู้ว่าศาลจะตัดสินคดีนี้ในวันที่ 24 ก.ย. และรู้สึกโล่งใจมากที่ศาลฎีกาอินเดียยืนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และสั่งยกฟ้องคำอุทธรณ์ของอีกฝ่าย ทำให้เทพราชและลลิตยาเป็นฝ่ายชนะคดีแบบขาดลอย ต่อจากนี้ไปก็จะเป็นเรื่องของการบังคับคดี ซึ่งยังมีอีกหลายขั้นตอนและต้องเดินทางไปๆมาๆอินเดียอีกหลายครั้ง เพื่อตามเรื่องการโอนหุ้นให้ลูกทั้ง 2 คน และจัดการเรื่องบัญชีต่างๆนานา ทั้งนี้ เรื่องหุ้นที่มีจำนวน 99 เปอร์เซ็นต์แต่ถูกยักยอกไปจนเหลือเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ก็ต้องสะสางกัน

ม.ร.ว.ปรียนันทนากล่าวด้วยว่า ขณะนี้ลูกทั้งสองคนอยู่ที่กรุงเทพ ทราบข่าวเรื่องนี้แล้ว และข่าวนี้เป็นข่าวดังในอินเดีย สื่อต่างๆได้เผยแพร่กันทั่วประเทศ ได้ต่อสู้เรียกร้องสิทธิแทนลูกจนลูกได้รับความยุติธรรม ต้องขอบคุณศาลฎีกาอินเดียที่ให้ความยุติธรรมกับเรา สำหรับลูกชายคือเทพราช ตอนนี้อายุ 32 ปี ปกติอยู่ที่อินเดียดูแลบ้าน ดูแลธุรกิจกับเรื่องคดีเป็นประจำ และกำลังจะเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ส่วนลูกสาวคือลลิตยา อายุ 34 ปี อยู่ที่เมืองไทยเพราะแต่งงานมีครอบครัวแล้ว

เมื่อถามถึงระยะเวลาในการบังคับคดีนี้ ม.ร.ว.ปรียนันทนายังกล่าวด้วยว่า ยังไม่ทราบว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ เพราะมีบางส่วนที่โอนได้ทันที คือทรัพย์สินของอดีตสามี ส่วนหุ้นที่ถูกยักยอกไปต้องกลับไปสะสางที่ศาลพาณิชย์ให้ศาลสั่งให้โอนคืนกลับมาให้หมด คิดเป็นจำนวนเงินหลายพันล้านบาท โดยผู้ที่ยักยอกไปคือลุงของเด็กๆ สำหรับคดีนี้ได้ใช้ทีมทนายที่มีฝีมือของอินเดียเป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องต่อสู้คดี และต้องเปลี่ยนทนายบ่อยมากแต่โชคดีที่ได้ที่ปรึกษาคดีที่ยอดเยี่ยมมาก ทำให้ลูกได้รับความยุติธรรมกลับคืนมา

...

มีรายงานด้วยว่า คดีฟ้องร้องเรื่องทรัพย์สินมรดกกว่าหมื่นล้านบาทของทายาทอดีตมหาราชาแห่งอินเดียครั้งนี้ ฝ่ายคู่กรณีที่เป็นลุงของเทพราชและลลิตยา เป็นผู้มีอิทธิพลในรัฐราชาสถาน ทำให้ฝ่าย ม.ร.ว.ปรียนันทนาไม่สามารถจ้างทนายความในพื้นที่ได้ ต้องไปจ้างทีมทนายที่เก่งมากๆ รวม 3 ชุดด้วยกัน คือที่ศาลฎีกา ที่กรุงนิวเดลี และที่ชัยปุระ เพื่อมาต่อสู้คดี ที่มีทั้งการไซฟ่อนเงิน การโกงหุ้นและพินัยกรรมปลอม ทำให้ก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ มาได้ ต้องขอขอบคุณทีมงานทนายความทุกคน ที่ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่จนทำให้งานนี้สำเร็จลงได้