สมาคมชาวสวนลำไยจันทบุรีร่วมกับสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทยกัมพูชาจันทบุรี เรียกตัวแทนล้งถก จากผลกระทบการให้ข่าวของหน่วยงานภาครัฐ เกี่ยวกับล้งต่างชาติ นัดเกษตรกร 10 อำเภอ ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าฯ จันทร์นี้...
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายพงษ์ศักดิ์ หลิวทวีสีประกาย นายกสมาคมชาวสวนลำไยจันทบุรี ร่วมกับ ดร.อิสิวุฒิ ตั้งเกียรติ นายกสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทยกัมพูชาจันทบุรี เรียกประชุมด่วนผู้ประกอบการและตัวแทนเกษตรกรชาวสวนผลไม้จังหวัดจันทบุรี ที่ห้องประชุมสำนักงานการค้าตลาดชายแดนบ้านแหลม หมู่ที่ 4 ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี โดยมีตัวแทนจาก 10 อำเภอ เข้าร่วมประชุมกรณีสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ข้อมูลที่ผิดพลาดในเรื่องของวงจรผลไม้และการซื้อขายผลไม้ของ จ.จันทบุรี ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรไม่พอใจ อ้างว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อพ่อค้าคนกลาง
ทั้งนี้ ในที่ประชุมสรุปว่าในวันจันทร์ที่ 29 มิ.ย. นี้ จะยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัด 3 เรื่อง คือ 1. เรื่องผลกระทบต่อการให้ข่าวของหน่วยงานภาครัฐ เกี่ยวกับล้งของชาวต่างชาติ ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก.ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ข่าวหรือการติดตามข้อมูลที่ผิดพลาด ในเรื่องของวงจรในการซื้อขายผลไม้จังหวัดจันทบุรี ที่จะส่งผลต่อเกษตรโดยตรงในเรื่องของราคาที่มันจะต่ำลง
2. เรื่องของล้งจีนที่มาตั้งในจังหวัดจันทบุรี ที่เป็นข่าวในปัจจุบัน มีได้เป็นการทำลายวงจรต่างๆ แต่เป็นการถ่วงดุลของวงการซื้อขายผลไม้ในจังหวัด ที่ผ่านมาทำให้ราคามันดีขึ้นแล้วก็เป็นการตัดพ่อค้าคนกลางที่กดขี่ราคาผลไม้ จากชาวสวนโดยตรงทำให้ผลไม้ราคาสูงขึ้น และ 3.เรื่องการซื้อขายผลไม้ที่ได้ราคา ณ ปัจจุบันเป็นการซื้อขายผลไม้ที่จำนวนเงินถึงมือเกษตรกรโดยตรงโดยผ่านพ่อค้า คนกลางน้อยลง
...
ดร.อิสิวุฒิ กล่าวว่า จะไปยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีในเวลา 09.00 น. วันที่ 29 มิ.ย. 58 พร้อมกลุ่มเกษตรและผู้ประกอบการจาก 10 อำเภอ เนื่องจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ข้อมูลทำลายวงจรการซื้อขายผลไม้ที่กำลังก้าวหน้าขึ้น แทนที่จะให้เงินถึงมือเกษตรกร แต่กลับไปดูแลปกป้องพ่อค้าคนกลาง เพราะฉะนั้นในส่วนของการแข่งขันต้องพัฒนาพ่อค้าของไทยเพื่อให้อยู่ได้
“กระทรวงต้องหาแนวทางให้เขา ไม่ใช่เป็นเรื่องของการมาตัดล้งต่างชาติที่เขามาช่วยซื้อผลไม้ ไม่งั้นมันก็เข้าวงจรรัฐบาลที่ต้องมาแก้ไขปัญหาทุกปี ซึ่งเรื่องนี้คนในระดับกระทรวงไม่เข้าใจบ้าจี้ตามเขาไป เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ในอนาคตจะต้องเสียหายอีก ถ้าภาครัฐออกข่าวในลักษณะนี้ มองว่าคนจีนยังไงก็ไม่กล้ามาลงทุน แทนที่เขาคิดจะมาลงทุนอีกจำนวนหนึ่งเขาต้องถอย เพราะว่าเขาไม่แน่ใจ กับประเทศไทยในเรื่องของข้าราชการที่จะต้องมาทำเรื่องแบบนี้”.