ป.จับเพิ่มอีก1 หนุ่มคนสนิท ตัวการที่ยังหนี
“โอ๊ต พราด้า” คู่ขา คนสนิทนายกิตติศักดิ์ ผู้ต้องหารายสำคัญที่ยังหลบหนี สารภาพสิ้นไส้ หลังถูกตำรวจ บก.ป.รวบตัว ทันทีที่ถูกออกหมายจับ ระบุนายกิตติศักดิ์ยังเป็นคู่ขากับอดีตผู้จัดการธนาคารที่ถูกจับก่อนหน้า ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ไม่ทราบว่าเงินที่นายกิตติศักดิ์ซื้อของหรูให้ใช้มาจากไหน ด้าน ปปง.เผย 21 รายชื่อกับ 3 บริษัทที่เกี่ยวข้อง สามารถยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบ 178 รายการ มูลค่าหลายร้อยล้านบาท พร้อมสั่งอายัดรถสปอร์ตหรูลัมโบร์กินีของ “บอย” ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ นักแสดง ดังไว้ตรวจสอบภายใน 30 วัน หากพบว่ารถคันดังกล่าวได้มาอย่างบริสุทธิ์ใจ สามารถทำเรื่องถอนอายัดรถคืน ส่วนรายของ “พิงกี้” สาวิกา ไชยเดช ปปง.อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบ
คดีโกงเงินสถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง (สจล.) ภายหลังตำรวจ บก.ป.สามารถติดตามจับกุมผู้กระทำผิดได้บางส่วน และอยู่ระหว่างติดตามผู้ต้องหาที่หลบหนี เบื้องต้นพบมีการทำเป็นขบวนการ จนต้องเชิญดารานักแสดงชื่อดัง 2 รายเข้าให้ข้อมูลเนื่องจากปรากฏชื่อในเอกสารหลักฐาน แต่ไม่พบว่ามีส่วนพัวพัน กระทั่งชุดสอบสวนเตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 ราย
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ม.ค. พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป.กล่าวถึงความคืบหน้าคดีลักเงินคงคลัง สจล. ว่า มอบหมายให้พนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อขออนุมัติศาลจังหวัดมีนบุรี ออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้เพิ่มอีก 2 ราย ประกอบด้วยนายภาดา บัวขาว หรือ “โอ๊ต พราด้า” คนสนิทของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด และนายธวัชชัย ยิ้มเจริญ เบื้องต้นพบนายภาดามีพฤติการณ์ร่วมกระทำความผิดกับนายกิตติศักดิ์ ผู้ต้องหารายสำคัญในคดีที่ยังคงหลบหนีการจับกุมอยู่ต่างประเทศ โดยทำธุรกรรมทางการเงินร่วมกัน
...
พ.ต.อ.ณษกล่าวต่ออีกว่า จากการสืบสวนสอบสวนพบนายภาดามีชีวิตความเป็นอยู่ที่หรูหรา ใช้รถสปอร์ตหรู ใช้ของแบรนด์เนม ต้องตรวจสอบถึงที่มาที่ไปของทรัพย์สินต่างๆ ส่วนผู้ร่วมกระทำความผิดรายอื่น มีพฤติการณ์กระจายเงินที่ได้มาจากการทำผิดในคดี ก่อนโอนเงินกระจายไปยังบัญชีธนาคารต่างๆนั้น ตำรวจต้องดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน ประสานให้เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมดำเนินการ พร้อมเร่งติดตามอายัดทรัพย์สินทั้งหมดกลับคืนมาให้ได้มากสุด
ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. แถลงผลการดำเนินการตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินขบวนการลักทรัพย์เงินของ สจล. จำนวน 178 รายการ มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25-26 ธ.ค.57 ทาง ปปง.รับการประสานงานจากตำรวจ บก.ป. ให้ตรวจสอบและวิเคราะห์ธุรกรรมทางการเงิน เพื่อยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิด ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
พ.ต.อ.สีหนาทเปิดเผยว่า หลังตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.57 น.ส.วรวรรณ สุวรรณกูฏ ผู้กล่าวหา ได้รับมอบอำนาจจาก สจล. ให้ร้องทุกข์กล่าวโทษ เพื่อดำเนินคดีกับนายทรงกลด ศรีประสงค์ ผู้ต้องหาที่ 1 น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 2 และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในความผิดฐานลักทรัพย์ ปลอม และใช้เอกสารสิทธิปลอม และเป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.83 ม.265 ม.268 และ ม.335 (7) และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.4
โดยมีพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค.57 น.ส.อำพรซึ่งเป็น ผอ.ส่วนกองคลัง สจล. ขออนุมัติถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสจล. เลขที่ 507-1-09403-4 จำนวน 50,000,000 บาท และจากบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขานิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เลขที่ 028-1-03878-3 จำนวน 30,000,000 บาท รวม 2 บัญชี พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 80,306,666.67 บาท อ้างว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซี ศรีนครินทร์ ที่นายทรงกลดเป็นผู้จัดการสาขา ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า เมื่อถอนเงินมาแล้ว น.ส.อำพรได้มอบแคชเชียร์เช็คให้นายทรงกลดเป็นผู้นำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์ บัญชีเลขที่ 226-1-26513-9 แล้วถอนไปฝากเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์ บัญชีเลขที่ 461-3-08425-1 ต่อมา สจล. ตรวจสอบสมุดบัญชีเงินฝากและหลักฐานการฝากของทั้ง 2 บัญชีดังกล่าวพบพิรุธหลายประการ จึงประสานงานตรวจสอบกับธนาคาร พบว่าสมุดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซี ศรีนครินทร์ หน้าเล่มชื่อบัญชี “สถาบันเทคโนโลยีฯ” มีร่องรอยขูดลบ พบข้อมูลที่แท้จริงจากธนาคาร เป็นบัญชีของนายทรงกลด ซึ่งถูกปิดมานานแล้ว แต่ปลอมรายการเคลื่อนไหวในสมุดบัญชี โดยไม่มีการฝากเงินเข้าบัญชีจริง เพื่อใช้สำหรับแสดงเวลาที่มีการตรวจสอบเท่านั้น และสมุดบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์ ในชื่อบัญชี “สถาบันเทคโนโลยีฯ” มีรายการฝากเงินเข้าบัญชีและถูกถอนออกไปทั้งหมด สจล.จึงรู้ว่าเงินที่ น.ส.อำพรขออนุมัติดังกล่าวสูญหายไปจากบัญชี
เมื่อพบปัญหาดังกล่าว สจล.สั่งให้มีการตรวจสอบบัญชีเงินฝากทั้งหมดที่มีอยู่ พบว่าเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ สูญหายไปอีก 3 บัญชี ได้แก่ บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์ เลขที่ 461-2-67188-5 บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสนามบินสุวรรณภูมิ เลขที่ 395-1-00787-8 และบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา บิ๊กซี สุวินทวงศ์ บัญชีเลขที่ 461-3-13463-2 รวมเป็นเงิน 1,075,037,702 บาท ก่อน สจล.ส่งตัวแทนเข้าแจ้งความกับ พงส.บก.ป. ซึ่งจากการรวบรวมพยานหลักฐานพบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด 178 รายการ รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 100 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินฝากธนาคาร 130 รายการ สลากออมสิน 7 รายการ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 30 รายการ ห้องชุด 2 รายการ รถยนต์และรถสปอร์ตหรู 6 รายการ รถ จยย. 3 รายการ
...
จากการตรวจสอบเชื่อได้ว่าทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด อาจถูกโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าว หากเนิ่นช้ากว่าจะมีการประชุมคณะกรรมการธุรกรรมเพื่อพิจารณาอายัดทรัพย์สิน อาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินทั้งหมด จึงเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วน ทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 48 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ออกคำสั่งที่ ย.199/2557 ลงวันที่ 26 ธ.ค. 57 คำสั่งที่ ย.200/2557 ลงวันที่ 29 ธ.ค.57 คำสั่งที่ ย.1/2558 ลงวันที่ 5 ม.ค.58 คำสั่งที่ ย.3/2558 ลงวันที่ 6 ม.ค.58 คำสั่งที่ ย.4/2558 ลงวันที่ 7 ม.ค.58 และคำสั่งที่ ย.6/2558 ลงวันที่ 9 ม.ค.58 ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 178 รายการ รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในความครอบครองของ 1. นายทรงกลด ศรีประสงค์ 2. นางสาวอำพร น้อยสัมฤทธิ์ 3. นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด 4. นายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ 5. นายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ 6. นายจิรัฏฐ์ ศิริภัครวรกุล 7. นางระดม มัทธุจัด 8. นางสาวจุฑารัตน์ ปัดภัย 9. นายสมศักดิ์ ยอดย้อย 10. นายจิตร แผนดี 11. นางสาวจันทร์จิรา โสประดิษฐ์ 12. นางสมบัติ โส–ประดิษฐ์ 13. นายเอนก ยั่งเจริญ 14. นางสาวโสมจำรัส แจ่มจำรัส 15. นางสาววันเพ็ญ นิ่มเรือง 16. นายสุกฤษ เขียวนันใจ 17. นายปฐมพงษ์ ศรีโรจน์ 18. นายสมพงษ์ สหพรอุดมการณ์ 19. นายสุรพล ตรงต่อกิจ 20. นางนกคล้า ตรงต่อกิจ 21. นายสนั่น มัทธุจัด 22. บริษัท มัทธุจัด จำกัด 23. บริษัท แกรนด์ บัคเก็ต ยูนิเวอร์แซล เซอร์วิส จำกัด 24. บริษัท แอคติ้งวัน เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด โดยมีกำหนดไม่เกิน 90 วัน เพื่อทำการตรวจสอบตามกฎหมายต่อไป ซึ่งการยึดและอายัดทรัพย์สิน 178 รายการ ซึ่งเป็นเพียงทรัพย์สินบางส่วนเท่านั้น เชื่อว่ายังมีทรัพย์สินที่การซุกซ่อนหรือโอนไปอยู่ในครอบครองของบุคคลอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ปปง.อยู่ระหว่างการเร่งตรวจสอบทรัพย์สิน ของบุคคลดังกล่าวและผู้เกี่ยวข้องเพื่อขยายผลยึด อายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม หากพบว่ามีทรัพย์สินใดที่เชื่อว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ปปง. จะเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการธุรกรรมเพื่อพิจารณายึด อายัดทรัพย์สินนั้นโดยเร็ว
...
ส่วนกรณีของนายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือบอย ดารานักแสดงชื่อดัง ที่ซื้อรถหรูจากนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด นั้น พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ กล่าวว่า ทาง ปปง.มีคำสั่งอายัดออกไปแล้ว รอเพียงให้นายปกรณ์นำรถมามอบให้ภายใน 30 วัน หากไม่มามอบตามกำหนด ปปง.จะขอคำสั่งศาลเพื่อดำเนินการยึดทรัพย์ต่อไป ส่วนสาเหตุที่ต้องดำเนินการอายัดรถสปอร์ตหรูของนายปกรณ์นั้น เพราะนายกิตติศักดิ์นำเงินที่ได้มาจากการทำผิดในคดีมาซื้อรถคันดังกล่าว ในราคา 20 ล้าน จากนั้น 2 เดือนต่อมา นำมาปล่อยขายให้ นายปกรณ์ในราคา 13.5 ล้าน ซึ่งถือว่าผิดวิสัยเป็นอย่างยิ่ง ต้องอายัดรถเพื่อตรวจสอบ หลังจากนี้นายปกรณ์สามารถเดินทางเข้ามาชี้แจงการได้มาของรถคันดังกล่าว หาก ปปง.ตรวจสอบแล้วพบว่านายปกรณ์ได้รถคันดังกล่าวมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ สามารถทำเรื่องถอนอายัดรถคืนได้
“สำหรับกรณีของ น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือ พิงกี้นั้น เบื้องต้นตำรวจสรุปว่าไม่มีความผิดตามคดีอาญา แต่สำหรับ ปปง.นั้น หากตรวจสอบพบว่าดาราสาวได้ผลประโยชน์หรือผลกำไรจากการถือหุ้นของ บ.เคพีพี โปรดักชั่น จก. ปปง.จำเป็นจะต้องยึดทรัพย์นั้น อย่างไรก็ตาม อีก 1-2 สัปดาห์ ปปง.จะมีการสรุปผลการยึดทรัพย์อีกครั้งเนื่องจากยังมีบุคคลอีกมากที่พบว่ามีการเชื่อมโยงกับขบวนการนี้” พ.ต.อ.สีหนาทกล่าว
บ่ายวันเดียวกัน พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป. พ.ต.ท.ต่อวงศ์ พิทักษ์โกศล สว.กก.1.บก.ป. พ.ต.ท.พัณนพงศ์ ศรีพิณเพราะ สว.กก.5.บก.ป. พร้อมจับกุมตัวนายภาดา บัวขาว อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 98/43 หมู่ 2 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา รัชดา ที่เพิ่งอนุมัติได้ก่อนหน้าไม่กี่ชั่วโมง ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ร่วมกันสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ทุจริตในหน้าที่หรือองค์กรให้เกิดความเสียหาย ในคดีลักทรัพย์เงิน สจล. จับได้ที่อิงนที รีสอร์ท ต.เชียงรากใหญ่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี พร้อมยึดเงินสด 120,000 บาท เงินยูเอสดอลลาร์เป็นธนบัตรฉบับละ 100 ดอลลาร์ 18 ฉบับ รถเก๋งเชฟโรเลต ครูซ สีขาว ทะเบียน ณย 4695 กรุงเทพมหานคร กุญแจรถบีเอ็มดับเบิลยู กุญแจรถโตโยต้า อัลพาร์ด และเอกสารต่างๆไว้ตรวจสอบ
...
สอบสวนนายภาดาทราบว่าเปิดห้องอยู่ที่รีสอร์ตดังกล่าว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ตั้งใจไปออกรายการทีวีต่างๆเพื่อแก้ข้อกล่าวหา ยอมรับว่ารู้จักกับนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด 1 ในผู้ต้องหาในคดีสจล. มาได้ประมาณปีเศษ จากนั้นนายกิตติศักดิ์ ให้เป็นผู้ดูแลรถสปอร์ตหรู ลัมโบร์กินี เพื่อรอขายต่อ โดยมีนายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือบอย ดารานักแสดงชื่อดังเป็นผู้ซื้อ หลังจากประกาศขายทางเฟซบุ๊ก ยืนยันว่าไม่รู้จักดาราดังเป็นการส่วนตัวมาก่อน ซึ่งตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้ เพราะมีธุรกิจหลายอย่างอยู่ที่ จ.ภูเก็ต ทั้งเปิดผับและมีอพาร์ตเมนต์ให้เช่า
ด้าน พ.ต.อ.กรไชยกล่าวว่า สำหรับนายภาดา ทางตำรวจทราบว่ามีความสนิทกับนายกิตติศักดิ์ โดยนายภาดาเป็นคนกลางดำเนินการขายรถหรูต่างๆ ให้กับนายกิตติศักดิ์ และยังมีอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกัน ต้องสอบสวนนายภาดาถึงที่มาที่ไปต่างๆเสียก่อน สำหรับทรัพย์สินของนายภาดาทุกอย่างต้องตรวจสอบว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร สำหรับรายชื่อที่ทาง ปปง.เปิดเผย จำนวน 21 ราย มีทั้งรายที่พนักงานสอบสวนออกหมายจับไปแล้วและจับกุมได้แล้ว นอกจากนั้นยังมีอีกหลายรายที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ออกหมายจับ เนื่องจากเป็นพวกปลายๆที่เงินกระจายไป แต่ ปปง.อายัดเงินในบัญชีไว้หมดทุกรายแล้ว อยู่ระหว่างติดตามตัวผู้ต้องหาตัวหลักๆที่สำคัญในคดีนี้อยู่
ต่อมาเมื่อเวลา 18.30 น. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.ผบช.ก. เดินทางเข้าสอบสวนนายภาดา บัวขาว หรือ “โอ๊ต พราด้า” ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา รัชดา ด้วยตนเอง โดยนายภาดาให้การว่า ก่อนหน้านี้มีภรรยาและมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน แต่เลิกรากันไปนานแล้ว กระทั่งประมาณ 7 เดือนที่แล้ว รู้จักกับนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ก่อนคบหาเป็นแฟนกันและได้ตกลงกันว่าจะมีเวลาให้อาทิตย์ละ 3 วัน
ต่อมาตนเข้าไปพักที่บ้านหรูในหมู่บ้านพฤกษาภิรมย์ ราชพฤกษ์ ระหว่างนั้นนายกิตติศักดิ์ซื้อกระเป๋าแหวน นาฬิกาและซื้อของแบรนด์เนมราคาแพงให้ใช้ตลอด โดยตนไม่ระแคะระคายว่าเงินที่นายกิตติศักดิ์ซื้อของให้มาจากไหน นอกจากนี้ช่วงที่ระหอง ระแหงกัน นายกิตติศักดิ์ได้ตามง้อพร้อมชวนไปเที่ยวฮ่องกง
“ผมเพิ่งมาทราบไม่นานว่านอกจากจะคบกับผมแล้ว นายกิตติศักดิ์ยังเป็นคู่ขากับนายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ ผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีนี้อีกด้วย หลังทราบข่าวนายกิตติศักดิ์ถูกออกหมายจับในคดีโกงเงิน สจล. ด้วยความตกใจจึงเก็บกระเป๋าออกจากบ้านเพื่อตั้งหลัก ก่อนถูกตำรวจตามจับกุม” นายภาดากล่าว