"นพพร" ร่อน จม.เปิดผนึก ร้องตกเป็นเหยื่อ-ถูกป้ายสี-โดนขูดรีด ยัน เคลียร์หนี้ "บัณฑิต" ตั้งแต่ปี 55 แต่ถูกข่มขู่เรียกเงินมาตลอด ยอมจ่าย 120 ล้าน ซัด เสธ.เจี๊ยบตัวการ สั่ง "อัครพงศ์ปรีชา" บีบ "บัณฑิต" รับแค่ 20 ล้าน หวั่นไม่ปลอดภัย เผ่นหนีออกนอกประเทศ
วันที่ 7 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นาย Andrew Macgregor Marshall นักข่าวสกอตแลนด์ มีการโพสต์ข้อความจดหมายเปิดผนึก และภาพนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (Wind Energy Holding (WEH) มหาเศรษฐีหนุ่มหมื่นล้าน ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และกรรโชกทรัพย์ กรณีให้ 3 พี่น้องอดีตนามสกุล “อัครพงศ์ปรีชา” ขู่กรรโชก ให้นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ซึ่งเป็นเพื่อนกัน ลดหนี้ลงจาก 120 ล้านบาท ให้เหลือ 20 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้นายนพพรอยู่ระหว่างการหลบหนีในต่างประเทศ
โดยจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวมีข้อความว่า
"เรียน ท่านบรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชน
เรื่อง กระผม (นายนพพร ศุภพิพัฒน์) ผู้ตกเป็นเหยื่อ
สืบเนื่องจากการมีข่าวของกระผม นพพร ศุภพิพัฒน์ เข้าไปเกี่ยวพันกับข่าวการเจรจาหนี้ ที่เป็นคดีสำคัญ และถูกกล่าวหาว่าใช้จ้างวานให้สามพี่น้องอัครพงศ์ปรีชาไปอุ้มตัวนายบัณฑิตมาเพื่อบีบให้ลดหนี้จำนวน 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท จนต่อมา ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหาต่างๆ รวมถึงความผิดตาม ม. 112 ความตามที่ท่านทราบแล้วนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว กระผม คือ ผู้ตกเป็นเหยื่อผู้ถูกใส่ร้ายป้ายสีและขูดรีด กระผมไม่มีที่พึ่งอื่นใดนอกจากท่านสื่อมวลชนเท่านั้น ที่จะให้ความยุติธรรมกับผมได้ และสื่อสารความจริงสู่สังคมและสาธารณชน
เพื่อความกระจ่างในคดีนี้ ผมใคร่ขอเรียนชี้แจงอย่างไม่กลัวอิทธิพลใดๆ ดังนี้
1. กระผมไม่ได้เป็นลูกหนี้นายบัณฑิต
ในความเป็นจริงแล้ว กระผมถูกขูดรีดจากนายบัณฑิตเสมอมา ความเดิม คือ กระผมกับนายบัณฑิต และเพื่อนอีก 2 คน ร่วมกันลงในทุนในบริษัทชื่อ กริฟฟอน อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง โดยกระผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 40% ในปี 2543 กระผมได้ยืมเงินจากบริษัทดังกล่าว โดยลงบัญชีเป็นลูกหนี้เงินกู้ยืมบริษัทเป็นเงินประมาณ 17 ล้านบาท แต่ผู้ถือหุ้น 3 คน รวมทั้งบัณฑิตไม่เห็นว่า เป็นการกู้ยืม จึงไปแจ้งความดำเนินคดีกระผมในข้อหายักยอกทรัพย์ กระผมจึงได้ชำระเงินคืนบริษัทฯ ในรูปของการชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของบริษัทฯ (ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน) จำนวน 8.9 ล้านบาท แทนบริษัทในปี 2547 และในปี 2555 กระผมชำระคืนบริษัทฯ อีก 17 ล้านบาท โดยได้ไปทำยอมความกันที่ศาลฎีกาในเดือนเมษายน 2555 โดยในหนังสือถอนคำร้องทุกข์ระบุชัดเจนว่า ผมชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัทฯ จนครบถ้วนแล้ว และผู้ถือหุ้นอื่นๆ ต่างก็ไม่ติดใจเอาความอีกต่อไป (หลักฐานปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำขอถอนคำร้องทุกข์ พร้อมเอกสารประกอบ เดือนเมษายน 2555 ซึ่งมีสำเนาอยู่ที่ทนายความของกระผมสองคน คือ นายวิชานนท์ วิมลสังข์ และนายพิษณุ พานิชสุข ส่วนเอกสารตัวจริงอยู่ที่ศาลฎีกา และสามารถไปคัดถ่ายได้กรณีทนายทำสูญหาย) จึงคงเหลือแต่บัณฑิตซึ่งเป็นคนเดียว ที่ยังไม่ยอมถอนฟ้องกระผมในคดีนี้ ทั้งที่ได้ส่วนแบ่งจากเงิน 17 ล้าน ดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้น ผมจึงมิได้เป็นหนี้ใดๆ กับนายบัณฑิต ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2555
2. การขูดรีดครั้งที่ 1 นายบัณทิตเรียกร้องเงิน 100 ล้านบาท เพื่อแลกกับการถอนฟ้อง
...
ในปี 2557 กระผมมีฐานะดีขึ้นและไม่อยากมีคดีติดตัวต่อไป กระผมจึงเปิดการเจรจาโดยส่งข้อความเสนอเงิน 20 ล้าน ไปให้บัณฑิตเพื่อให้ถอนฟ้องในคดีที่กระผมติดหนี้บริษัท ซึ่งผมได้ชดใช้ไปหมดแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบกลับจากนายบัณทิต จนกระทั่งผมเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ยุโรป ในวันที่ 24 พฤษภาคม ต่อมาขณะอยู่ต่างประเทศได้ทราบจากคนรู้จักว่า นายบัณฑิตจะเปิดตัวเลขกลับมาที่ 100 ล้านบาท (ซึ่งคงเพราะทราบว่า นิตยสารฟอร์บส์ฉบับเดือนมิถุนายนได้ประเมินทรัพย์สินของกระผมที่ 26,000 ล้าน) แต่กระผมคิดว่า น่าจะต่อรองได้ในราคา 50-60 ล้านบาท (ซึ่งเป็นการพบกันครึ่งทาง) ในวันที่ 18 มิถุนายน ขณะกระผมอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส จึงให้นายพิษณุ พานิชสุข ส่งสัญญายอมความ 2 ฉบับมาให้ทางอีเมล์ ฉบับหนึ่งระบุตัวเลขเป็นเงิน 50 ล้าน ส่วนอีกฉบับระบุ 60 ล้าน (หลักฐานตามอีเมล์อีกฉบับที่ผมส่งมาพร้อมกันนี้) จากนั้นกระผมปรินท์สัญญาทั้งสองฉบับออกมาเพื่อลงชื่อ และส่งกลับไปให้ทนายในวันเดียวกันทาง DHL (หลักฐานซอง DHL ดังกล่าวเก็บอยู่ที่นายพิษณุ)
3. นายปริญญา รักวาทิน หรือ เสธ.เจี๊ยบ
อย่างไรก็ดี เพื่อความมั่นใจว่า เรื่องราวจะได้ข้อยุติ กระผมโทรฯ ทางไกลมาปรึกษากับ นายปริญญา หรือ เสธ. เจี๊ยบ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บ. เรือด่วนเจ้าพระยาฯ (ทางทนายพิษณุเคยแนะนำให้รู้จัก) และชอบอ้างตัวสนิทสนมกับ เสธ. คนดัง ว่า สามารถเชิญผู้ใหญ่ที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในเรื่องนี้ได้ หรือไม่ มีค่าใช้จ่ายอย่างไร และสามารถทำให้รูปแบบการเจรจาอยู่ในกรอบของกฎหมายตามที่ทนายให้แนวทางไว้ได้หรือไม่ ซึ่งนายปริญญาก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า สามารถทำได้เพราะตัวเลขที่เสนอถึง 60 ล้าน ก็เป็นจำนวนมากพอ ที่น่าจะทำให้นายบัณฑิต ยอมตกลงอยู่แล้ว หากเพิ่มบุคคลที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นคนกลาง บัณฑิตย่อมไม่กล้าเรียกร้องแบบไร้เหตุผล ที่กระผมต้องพึ่งผู้ใหญ่ในการเจรจาไกล่เกลี่ยครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะนายบัณทิตเป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพลภาคใต้ ซึ่งทราบกันดีว่า ร่ำรวยจากการค้าของเถื่อน
3. ผมไม่เคยรู้จัก หรือได้ยินชื่อสามพี่น้องอัครพงศ์ปรีชา ก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ 23 มิถุนายน ทางนายปริญญา หรือ นายเจี๊ยบ แจ้งว่า ผู้ใหญเรียกค่าดำเนินการ 30 ล้าน ผมจึงตกลงและจ่ายล่วงหน้าเป็นเงิน 5 ล้าน ส่วนอีก 25 จะจ่ายเมื่อมีการตกลงยอมความกันที่ศาล โดยจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไข คือ ต้องให้คู่เจรจา คือ นายบัณฑิตยอมความโดยสมัครใจหรือเกรงใจเท่านั้น หากไม่สำเร็จกระผมก็จะนำเงิน 25 ล้านนี้ไปเพิ่มยอดให้นายบัณฑิตรวมเป็น 85 ล้านแทน เพื่อให้คดียุติ ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า เสธ. เจี๊ยบจะไปเชิญ เสธ. คนดัง ซึ่งจะไกล่เกลี่ยแบบผู้ใหญ่มาเป็นคนกลาง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงในวันที่ 23 มิถุนายนว่า นายปริญญาไปว่าจ้างสามพี่น้องอัครพงศ์ปรีชา มากระทำการอุกอาจ และไปบังคับให้บัณฑิตรับเงินแค่ 20 ล้าน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ ผิดจำนวนเงิน และเงื่อนไขที่ผมให้ไว้อย่างสิ้นเชิง
4. ผมถูกขูดรีดครั้งที่ 2 เพิ่มเป็น 150 ล้าน
หลังเกิดเหตุดังกล่าวย่อมเป็นที่แน่นอนว่า บัณฑิตไม่พอใจอย่างมาก นายบัณทิต จึงเพิ่มตัวเลขไปเป็น 150 ล้าน ผมเรียนตรงๆ ว่า ขณะนั้นเข็ดและหดหู่กับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว จึงแจ้งว่า ยินดีจะจบที่ 120 ล้าน โดยจ่ายทันที 80 ล้าน และตีเป็นเช็คล่วงหน้าอีก 40 ล้าน บัณฑิตตกลงโดยมาทำสัญญายอมความที่ศาลในวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา (หลักฐานปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำขอถอนคำร้องทุกข์ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พร้อมหลักฐานการจ่ายเงิน สำเนาอยู่ที่ทนายความของกระผมสองคน คือ นายวิชานนท์ วิมลสังข์ และนายพิษณุ พานิชสุข ส่วนเอกสารตัวจริงอยู่ที่ศาลฎีกา และสามารถไปคัดถ่ายได้กรณีทนายทำสูญหาย) โดยขณะไปยอมความที่ศาลกระผมก็ยังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส โดยเดินทางกลับกรุงเทพฯ ประมาณวันที่ 20 กรกฎาคม
5. ถูกนายเจี๊ยบ หรือ นายปริญญา ขูดรีดอีก 25 ล้านบาท
ต่อมา นายปริญญากลับมาขอเงิน 25 ล้านกับผมอีก ผมตอบไปว่า นายปริญญา ไปทำเสียหายจนผมต้องจ่ายเงินเกินกว่าที่ควรแล้ว ยังจะมาขอเงิน 25 ล้านอีกหรือ นายปริญญาเพียงตอบสั้นๆ ว่า อยากมีเรื่องกับ…(หมายถึงสามพี่น้องฯ) หรือ ผมกลัวจะไม่ปลอดภัยเลยต้องให้เงิน 25 ล้านไป โดยนัดให้มารับเงินสดที่สำนักงานใหญ่บริษัท WEH ช่วงสิ้นเดือนกรกฎาที่ผ่านมา
6. ตำรวจ สน.วัดพระยาไกรปิดบังหลักฐานและจงใจให้ผมตกเป็นเหยื่อ
พนักงานสอบสวน สน. วัดพระยาไกร ที่รู้จักกับนายปริญญา ชื่อ...ได้ติดต่อผ่านทนายพิษณุให้กระผมเข้ามาให้ปากคำ ผมจึงได้เข้าไปให้ปากคำเมื่อวันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยได้มีบันทึกข้อความการให้ปากคำไว้เป็นหลักฐาน แต่ยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากในตอนท้ายพนักงานสอบสวนชื่อสารวัตรชูศักดิ์ถามผมว่า รู้จัก ”เจี๊ยบ” หรือไม่ ผมเห็นว่า ทั้งทนาย และพนักงานสอบสวน ที่ร่วมสอบสวนอยู่ด้วยเป็นเพื่อนกับนายปริญญา จึงรู้สึกไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ยืนยันว่า จะกลับมาให้การเพิ่ม จนวันรุ่งขึ้น (วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน) ผมโทรศัพท์หาสารวัตร...เพื่อขอนัดเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม และนำหลักฐานต่างๆ ไปส่ง แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง และแจ้งกับกระผมว่ารู้แล้วว่า เจี๊ยบคือใคร ไม่ต้องมาหรอก ผมเห็นเป็นพิรุธ ประกอบกับมีการประโคมข่าวเรื่องลดหนี้ (ทั้งๆ ที่ทางตำรวจก็มีเอกสารสำเนาการยอมความที่ศาลข้างต้นทั้งสองชุดเป็นหลักฐาน) ผมเกรงว่าคงไม่ได้ประกันตัวและถูกปิดปากในเรือนจำ จึงจำเป็นต้องหลบหนีออกนอกประเทศ มาตั้งหลักเพื่อทำหนังสือฉบับนี้เพื่อแถลงข้อเท็จจริงให้สื่อมวลชนได้รับทราบในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมจึงใคร่ขอเรียนแจ้งให้ทราบจากปากคำของผมเอง และขอขอบพระคุณท่านบรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชนหากจะกรุณาให้ความยุติธรรมนำเสนอข่าว และร่วมต่อสู้กับกระบวนการอยุติธรรมที่ทำให้บุคคลผู้บริสุทธิ์ตกเป็นแพะ และเป็นเหยื่อคนแล้วคนเล่า
ขอแสดงความนับถือ
นายนพพร ศุภพิพัฒน์
ทั้งนี้ นายนพพรถูกคำสั่งจับกุมเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2557 โดยศาลทหารกรุงเทพ ได้อนุมัติออกหมายจับ นายนพพร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ เลขที่ 138 /2557 ลงวันที่ 1 ธ.ค. 2557 ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และจ้างวานใช้ให้ผู้อื่นกระทำการร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป