ตำรวจอิเหนาส่งตัว “นัตตี้” ยูทูบเบอร์สาวคนดังกับมารดา ผู้ต้องหาโกงเทรดหุ้นมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท กลับถึงไทย ผู้ช่วย ผบ.ตร.นำคณะไปรับที่สนามบินดอนเมือง เผยมีเหยื่อทั่วประเทศกว่า 6,000 ราย เข้าแจ้งความแล้ว 475 ราย ศาลออกหมายจับเจ้าตัว 13 หมายจับ ส่วนแม่โดน 2 หมายจับ ส่งให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ พร้อมเร่งขยายผลออกหมายจับเพิ่มอีกหลายคดี
ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 25 ต.ค. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก ตร. และ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ไปรับตัว น.ส.สุชาตา หรือนัทธมณ คงจักร์ อายุ 31 ปี หรือ “นัตตี้ ลีอาห์” ยูทูบเบอร์สาวชื่อดัง ผู้ต้องหาตุ๋นลงทุนเทรดหุ้นมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท และนางธานิยา คงจักร์ อายุ 66 ปี มารดา ทั้งคู่ถูกจับกุมที่ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนส่งกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย
พล.ต.ท.ธัชชัยเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อเดือน ส.ค.65 มีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ศูนย์แจ้งความ บช.ก.-บช.สอท. และสถานีตำรวจทั่วประเทศ เพื่อดำเนินคดี น.ส.สุชาตา หรือนัตตี้ ยูทูบเบอร์ชื่อดัง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท น.ส.สุชาตาเป็นเน็ตไอดอลที่มีชื่อเสียงมาจากโซเชียลมีเดีย เคยเป็นอดีตศิลปินมีผลงานเพลงในประเทศเกาหลีใต้ ก่อนผันตัวเป็นยูทูบเบอร์เจ้าของช่อง “Nutty’s Diary” มีผู้ติดตามกว่า 8 แสนคน ต่อมามีการลงโฆษณาและชักชวนประชาชนลงทุนรับฝากเทรดหุ้นและอนุพันธ์ของหุ้น มีการลงโพสต์โชว์ผลกำไร อ้างตัวเป็นโค้ชเทรดหุ้นว่ามีใบอนุญาตรับรองจาก ก.ล.ต. สามารถสอนนักเรียนเทรดหุ้นได้และยังกล่าวอ้างว่ามีการจัดตั้งบริษัทมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ได้รับใบอนุญาตการลงทุนจาก ก.ล.ต.อีกด้วย
...
ต่อมากลุ่มผู้ต้องหาให้ผู้หลงเชื่อเข้าพูดคุยผ่านกลุ่มไลน์ มีสมาชิกกว่า 3,000 คน มีการอัปเดตข้อมูลชวนเชื่ออย่างต่อเนื่อง ทำให้เหยื่อเชื่อว่าผู้ประกอบธุรกิจนี้เจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด เช่น ซื้อคอนโดที่พัทยาหลายห้อง ซื้อโรงงาน คลินิก ที่ดิน รถยนต์หรู และใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ภาพลักษณ์ดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อตัดสินใจร่วมลงทุน ช่วงแรกเหยื่อได้เงินจริงทำให้เพิ่มเงินลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ถูกเชิดเงินไป คาดว่ามีผู้เสียหายทั่วประเทศรวมกว่า 6,000 ราย สร้างความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท มีผู้เข้าแจ้งความดำเนินคดีแล้ว 475 ราย สำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลทั่วประเทศออกหมายจับ น.ส.สุชาตา 13 หมายจับ และหมายจับนางธานิยา มารดา 2 หมายจับ อยู่ระหว่างดำเนินการออกหมายจับเพิ่มเติมอีกหลายคดี และต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษมีมติรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ
ผู้ช่วย ผบ.ตร.เผยต่อไปว่า จากการสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 รายหลบหนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติไปก่อนหน้านี้แล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งไปยัง INTERPOL และตำรวจประเทศต่างๆ เพื่อสืบสวนหาข่าวนำผู้ต้องหาทั้งสองมาดำเนินคดีในประเทศไทย เนื่องจากเป็นคดีที่สำคัญสร้างความเสียหายให้กับประชาชนในวงกว้าง และจากการสืบสวนทำงานร่วมกับตำรวจในประเทศต่างๆ จนท้ายที่สุดพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 รายหลบหนีไปยังประเทศอินโดนีเซีย ตำรวจอินโดนีเซียจับกุมได้ที่เมืองดูไม จังหวัดรีเยา บนเกาะสุมาตรา เมื่อวันที่ 2 ต.ค.67
จากการสืบสวนเบื้องต้นทราบว่า ผู้ต้องหาทั้งสองหลบหนีไปอยู่ในประเทศมาเลเซียเป็นเวลานาน ไม่มีทั้งหนังสือเดินทางและบัตรประชาชนของประเทศไทย ต่อมาลักลอบเข้าประเทศอินโดนีเซียผ่านเกาะบาตัม ก่อนเดินทางต่อไปยังเมืองดูไม กระทั่งถูกจับกุมตัว จากนั้นทางการอินโดนีเซียเพิกถอนวีซ่าของผู้ต้องหาทั้งสอง ประสานสถานทูตไทยในอินโดนีเซียและตำรวจชุดจับกุมเพื่อยืนยันตัวบุคคลและผลักดันผู้ต้องหากลับประเทศไทย ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บช.สอท. และดีเอสไอ มารับตัวที่ท่าอากาศยานดอนเมือง
“การติดตามจับกุมคนร้ายคดีนี้เกิดขึ้นได้จากความสัมพันธ์อันดีและการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างตำรวจไทย ตำรวจอินโดนีเซีย และตำรวจประเทศต่างๆในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก ทำให้สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และเยียวยากลุ่มผู้เสียหาย เป็นสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่าใครที่คิดจะทำความผิดและหลบหนีไปต่างประเทศจะไม่รอดพ้นถูกตามจับตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทย” พล.ต.ท.ธัชชัยกล่าว
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่