เรื่องจีนเก่าๆ ที่จดจำกันมาเล่าแล้วก็เล่ากันอีก เรื่องหนึ่ง ต้นเรื่องเกิดในสมัยราชวงศ์จิ้น สมัยลูกๆ สุมาอี้ ล้มบัลลังก์ลูกเสด็จเจ้าโจโฉ นับนิ้วง่าย ก็ราวๆ 1,700 ปีที่แล้ว
ต้องขอบคุณ ท่านหวนชูเต้าหยิน อดีตขุนนางสมัยราชวงศ์หมิง ท่านจดจำเอามาเขียนไว้เป็นตัวหนังสือ...จนมีคนรุ่นเราๆ ไปเจอเข้าในหีบหนังสือเก่า พระราชวังโบราณกรุงปักกิ่ง...คนจีนอ่านแล้วก็ฮือฮา!กัน
ยังไม่พอ ไปแตกหน่อฮือฮาต่อในญี่ปุ่น
นับจากสามก๊ก พิชัยสงครามซุนวูและไซอิ๋ว ชื่อหนังสือ “ว่าด้วยรากผัก” เล่มนี้ ถือเป็นอันดับที่สี่
คอลัมน์นี้เองเอามาเขียนไปก็หลายครั้ง เขียนครั้งนี้ก็หวังว่า คนที่ได้อ่านจะสนุก สะใจยิ่งกว่า
(สายธารแห่งปัญญา บุญศักดิ์ แสงระวี แปลสำนักพิมพ์ ก.ไก่ พ.ศ.2536)
ยุคราชวงศ์จิ้น เศรษฐกิจรุ่งเรืองเฟื่องฟูช่วงสั้นๆ อภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่ง ชื่อสื้อฉง โด่งดังในความฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย ให้คนทั้งเมืองหมั่นไส้ยังไม่พอ เขายังขึ้นชื่อในความหยิ่งยโสโอหัง
หวนซูเต้าหยิน ผู้เล่าออกตัวว่ากระบวนท่าความรุ่มรวยแค่ไหนยังไง! ของเศรษฐีสื้อฉง ท่านเคยเล่าไปจนเบื่อแล้ว ท่านขอจำกัดวง พูดแค่ เรื่องเขามีนางร้องอันดับหนึ่ง เป็นนางบำเรอ ชื่อนางลู่จู
นอกจากเรื่องความสวย ระดับไร้นางใดในแผ่นดินเทียมทาน นางยังมีคุณสมบัติพิเศษที่นางร้องอื่นไม่มี
คือเป่าขลุ่ยได้ไพเราะจับใจ
ปัญหาของความร่ำรวยทรัพย์สิน เงินทอง ของมีค่า ในกระบวนเศรษฐี และผู้มีอำนาจด้วยกัน ว่ากันว่ายังพอขอกันกินได้ เรื่องเป็นเรื่องขึ้นมาก็เมื่อ เสน่หายาใจของนางร้องลู่จู เกิดไปปักจิตปักใจ
ฯพณฯ ซุ่นซิ่ว อัครมหาเสนาบดี ผู้มีอำนาจเต็มแผ่นดินเข้า
ฯพณฯ ซุ่นซิ่ว เคยลองทาบทาม ด้วยวิธีทางอ้อมกับสื้อฉงหลายครั้ง...ก็ยังไม่ได้ผล ฯพณฯ ก็เลยใช้ทางตรง ส่งคนไปเจรจาขอเอาซึ่งหน้า แน่นอนของรักของหวงอย่างอื่นพอแบ่งกันได้ แต่เรื่องผู้หญิง ไม่ใช่
...
ตามสูตรของผู้มีอำนาจ เมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องได้ด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็ต้องได้ด้วยคาถา...ในหลายๆวิธีที่ฯพณฯอัครมหาเสนาบดีใช้...กดดันรุนแรงถึงขั้น
นางร้องลู่จูซึ่งก็แสดงเปิดเผยว่ารักใคร่ในเศรษฐีสื้อฉงมาก ถึงขนาดกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
ส่วนเศรษฐีสื้อฉงนั้น เจอเข้าหลายข้อหาฉกาจฉกรรจ์ ถ้าเป็นข้อหาสมัยใหม่เข้าสมัย ก็คงเริ่มแต่ข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตามด้วยข้อหาฟอกเงินและข้อหาที่ใครฟังแล้ว หัวร่อ คือเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร
จะไม่ให้หัวร่อ ได้ไง? ก็เป็นพ่อค้ามหาเศรษฐี ทำมาค้าขายร่ำรวยอยู่ดีๆ อ้าว! บ้านกลายเป็นซ่อง ตัวกลายเป็นอั้งยี่ เป็นโจรมหาโจรไปเสียแล้ว
เรื่องเล่ารวบรัด จนมาถึงฉากสุดท้าย นาทีที่เศรษฐีสื้อฉง รู้แน่ว่าเงินหมื่นล้านแสนล้าน ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ระหว่างถูกคุมตัวเข้าลานประหาร เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ระบายความในใจกับผู้คุมใกล้ตัว
“ไอ้คนเลว (เขาเอ่ยชื่ออัครมหาเสนาบดี) มันอิจฉาที่เราร่ำรวยกว่ามันใส่ร้าย ทำลายเรา”
ยังมีช่วงเวลา ที่เพชฌฆาตยังไม่ลงดาบ ให้พูดจากันต่อ
ผู้คุมจึงถาม “ก็เมื่อท่านก็รู้ว่า เงินทองของท่าน ก่อเภทภัยใหญ่หลวงให้แก่ท่าน ทำไม?ท่านไม่คิดกระจายเงินทองออกไป เพื่อขจัดเภทภัยเล่า!”
สื้อฉงดูเหมือนเพิ่งจะเจอคำถามที่ไม่มีใครกล้าถาม ก็นิ่งอึ้งจนปัญญา ไม่มีคำตอบออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
เหตุที่เศรษฐีสื้อฉง งง...หาคำตอบไม่ได้ เพราะเขาร่ำรวยขึ้นมาได้ด้วยค้าขายธรรมดาๆ
ไม่ได้ร่ำรวยรวดเร็ว มีเงินซื้อรถราคาแพงๆ นาฬิกาแพงๆ ด้วยกลเกม หลอกชาวบ้าน หลอกนักร้อง หลอกพิธีกร กระทั่งพระดังๆใช้เงินจ้างสื่อดังๆช่วยประโคม เหมือนเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในบางบ้านเมือง.
กิเลน ประลองเชิง
คลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม