หากเอ่ยถึงแบรนด์สินค้าคู่บ้านที่อยู่กับคนไทยมาอย่างยาวนานในทุกช่วงชีวิต เชื่อว่าหลายๆ คนอาจคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับแบรนด์อย่าง แอทแทค, มาจิคลีน, ไฮเตอร์, บิโอเร, ลอรีเอะ ซึ่งสินค้าเหล่านี้ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้เครือ “คาโอ” (KAO) บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและเคมีภัณฑ์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ที่ดำเนินธุรกิจในบ้านเกิดมากว่า 137 ปี และล่าสุดเพิ่งครบรอบ 60 ปี การเข้ามาทำธุรกิจในไทย ซึ่งถือเป็นประเทศที่เก่าแก่ที่สุดที่เครือคาโอเข้ามาทำธุรกิจ

สิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยคือในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าในครัวเรือนนั้น นับได้ว่าเป็นกลุ่มสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้ ทั้งยังเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง หรือที่เรียกว่า 'เรดโอเชียน' เหตุนี้จึงนับเป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่ธุรกิจจะประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามคาโอกลับสามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศจนปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนในหลากหลายภูมิภาคทั้ง เอเชีย โอเชียเนีย อเมริกาเหนือ และยุโรป จนสามารถสร้าง ยอดขายรวมกว่า 1,530 พันล้านเยนต่อปี จากผลิตภัณฑ์มากกว่า 20 แบรนด์ในหลายกลุ่มสินค้า อาทิ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้า กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอาทิ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดภายในบ้าน ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม และกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ เป็นต้น

เบื้องหลังความสำเร็จนี้อาจกล่าวได้ว่าเกิดจากแนวคิดการทำธุรกิจฉบับคาโอที่เรียกว่า “Yoki-Monozukuri” ซึ่งหมายถึง “กระบวนการสร้างสรรค์ที่ดีเลิศ” ซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูง ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนในทุกๆ พื้นที่ที่คาโอเข้าไปทำธุรกิจ หรืออาจกล่าวได้ว่าคาโอไม่ได้ทำหน้าที่เพียงผลิตสินค้าเพื่อจำหน่าย แต่ยังต้องช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างเห็นผล และสิ่งนี้ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง “คาโอ” กับ “เครือเจริญโภคภัณฑ์” หรือ ซีพี ซึ่งมุ่งหวังนำเอาประสบการณ์ 60 ปีแห่งความเชี่ยวชาญในประเทศไทยและโซลูชั่นเพื่อความยั่งยืนจากญี่ปุ่นมาส่งมอบสู่คนไทยในวงกว้าง ผ่านเครือข่ายค้าปลีกและค้าส่งที่กว้างขวางที่สุดของประเทศ ให้ทุกครัวเรือนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมที่ยั่งยืนได้ผ่านสินค้าจากคาโอในราคาที่เอื้อมถึง

“วิถีคาโอ" วิถีแห่งความพิถีพิถัน ใส่ใจในคุณภาพ และให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความต้องการของผู้บริโภค

หากเราลองสังเกต จะพบว่าจุดร่วมอย่างหนึ่งของกลุ่มบริษัทที่มีอายุมากกว่าหนึ่งศตวรรษก็คือการเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจผู้บริโภค สามารถสร้างความไว้วางใจด้วยคุณภาพและบริการ จนกลายเป็นตัวเลือกที่ลูกค้าจะคิดถึงเป็นลำดับต้นๆ เสมอ เช่นเดียวกันกับทางด้านคาโอที่ให้ความสำคัญกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์โดยยึดถือลูกค้าเป็นสำคัญเสมอมานับตั้งแต่วันแรก โดยจุดเริ่มต้นของบริษัทต้องย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1887 ในเวลานั้นคาโอยังเป็นร้านขายของจิปาถะขนาดเล็กที่ชื่อว่า "นางาเสะโชเต็ง" หลังจากทำธุรกิจได้ระยะหนึ่ง ผู้ก่อตั้ง “มร.โทมิโร นางาเสะ” พบปัญหาคือสบู่ที่ผลิตในประเทศนั้นยังขาดคุณภาพ ส่วนที่นำเข้าก็มีราคาแพง จึงมีความคิดจะผลิตสบู่ที่คุณภาพดีในราคาที่ไม่แพงเกินไป เป็นที่มาของ “สบู่คาโอ” ที่คุณภาพสูงมากจนสามารถใช้ล้างหน้าได้ ทั้งยังบรรจุในหีบห่อที่สะอาดปลอดภัย มาพร้อมใบรับรองผลิตภัณฑ์ที่ออกโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งคาโอนับเป็นบริษัทแรกๆ ของญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับการรับรองคุณภาพสินค้า

จากสบู่ก้อนแรกคาโอเดินหน้าต่อยอดธุรกิจโดยยึดเอาความใส่ใจเป็นหลัก พร้อมเสริมแกร่งด้วยการเข้าไปทำงานกับผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดผ่านการรับฟังความเห็นของลูกค้า ทั้งยังพัฒนาโครงสร้างและระบบการนำเอาข้อเสนอแนะมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของคาโอจวบจนปัจจุบัน และยังกลายเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ทำให้คาโอเข้ามานั่งในใจชาวไทยจำนวนมาก ซึ่งทุกๆ ผลิตภัณฑ์ที่คาโอนำเสนอตลอด 60 ปีที่เข้ามาทำธุรกิจล้วนผ่านการศึกษามาอย่างลึกซึ้งจนเข้าใจวิถีคนไทยเป็นอย่างดี ว่าสิ่งไหนจะตอบโจทย์ชีวิต ทั้งในเรื่องของคุณภาพ ราคา และ การใช้งาน โดยมีผลิตภัณฑ์หลักได้แก่ แอทแทค มาจิคลีน ไฮเตอร์ ลอรีเอะ เมอร์รี่ส์ เมะกุริธึ่ม แฟซ่า ลิเซ่ บิโอเร คิวเรล และเจอร์เกนส์

ยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “การให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจผู้บริโภคคือเคล็ดลับที่ทำให้คาโอกลายเป็นแบรนด์ที่อยู่เคียงข้างคนไทยอย่างเหนียวแน่น โดยบริษัทได้มุ่งมั่นนำเอาทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาสินค้าทุกชิ้นให้ดีขึ้นเสมอ เพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตผู้คนให้สะดวกสบายยิ่งขึ้นไม่ว่าจะยุคสมัยใด

ด้วยการตอบรับเป็นอย่างดีของผู้บริโภคชาวไทยทำให้คาโอเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสในอนาคตของประเทศไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศแรกที่คาโอขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ ทำให้ที่นี่เป็นฐานธุรกิจที่มีความหมายอย่างยิ่ง อีกทั้ง เราพร้อมตอบแทนความไว้วางใจด้วยการนำเสนอสิ่งที่ดียิ่งกว่าซึ่งรวมไปถึงการนำนวัตกรรมมาสู่ตลาดประเทศไทยมากขึ้นเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทย อีกทั้งเพื่อสนับสนุนการสร้างสังคมแห่งความยั่งยืนต่อจากนี้ ซึ่งสิ่งนี้ยังสอดรับไปกับการเติบโตของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจกับการดำเนินชีวิตด้วยความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย”

จับมือซีพี อีกก้าวสำคัญสู่การสร้างธุรกิจแห่งความยั่งยืนระดับโลก

ยูจิ ชิมิซึ เล่าเพิ่มเติมว่าคาโอให้ความสำคัญกับเรื่องของ ESG ครบทุกมิติเสมอมา โดยแนวคิดนี้ได้ถูกผสานเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของบริษัทผ่านโปรเจกต์จำนวนมาก และสะท้อนผ่านผลงานในด้านต่างๆ อาทิ การได้รับ AAA จาก CDP (ด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ป่าไม้ และแหล่งน้ำ) เป็นเวลา 4 ปีติดต่อกัน อีกทั้งยังเป็นบริษัทหนึ่งเดียวที่ได้รับเลือกให้เป็น World’s Most Ethical Companies (บริษัทที่มีจริยธรรมที่สุดในโลก) เป็นเวลา 18 ปีติดต่อกัน รวมถึงมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมไทยในด้านเคมีภัณฑ์ ด้วยนวัตกรรม NEWTLAC ซึ่งได้จากการนำขวดพลาสติก PET ที่ใช้แล้ว มาใช้เป็นส่วนผสมของยางมะตอย ช่วยเพิ่มความทนทานกว่าเดิม ทนการกัดเซาะน้ำได้ดี และยืดอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเดิม เป็นต้น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นกับผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากคุณภาพของผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านราคายังคงเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ การผลิตสินค้าที่คำนึงถึงความยั่งยืนนั้นมีต้นทุนที่สูง ซึ่งกลายเป็น 'อุปสรรค' ที่ขัดขวางไม่ให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถหาซื้อได้อย่างแพร่หลาย ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยบริษัทใดบริษัทหนึ่งเพียงลำพัง แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทั้งซัพพลายเออร์และเครือข่ายการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งหมด ในเรื่องนี้ นายชิมิซึมองว่า 'หากปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น ต้นทุนก็มีแนวโน้มลดลง' และเชื่อว่าการร่วมมือกับบริษัทอื่นจะเป็นประโยชน์ในแง่นี้เช่นกัน"

คาโอเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจร่วมกับกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) จะสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายตามแผนธุรกิจระยะกลางหรือ 'K27' ซึ่งประกอบด้วย “การสร้างธุรกิจระดับโลก” และ “การพัฒนาธุรกิจผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร” โดยจะมีการหารือเพื่อนำเอาจุดแข็งมาเสริมแกร่งซึ่งกันและกันเพิ่มเติมในอนาคต ขั้นแรกจะร่วมพัฒนาสินค้าเฮาส์แบรนด์ให้กับเครือเจริญโภคภัณฑ์ จากนั้นคาโอจะนำเข้าสินค้าเกี่ยวกับความยั่งยืนจากญี่ปุ่น นำมาวางจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟผ่านช่องทางของเครือเจริญโภคภัณฑ์ เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น โลตัส และแม็คโคร นอกจากนี้จะมีการสำรวจความเป็นไปได้ในการร่วมมือกันในด้านเคมีภัณฑ์อีกด้วย

"การสร้างสังคมที่ยั่งยืนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่บริษัทเพียงหนึ่งเดียวจะทำได้สำเร็จ ในกลยุทธ์ธุรกิจร่วมกับกลุ่มซีพี การที่ทั้งสองบริษัทมีปณิธานร่วมกันในการ 'สร้างสังคมที่ยั่งยืนและสนับสนุนอนาคตของเยาวชน' จะช่วยให้เราสามารถเดินหน้าได้อย่างเข้มแข็งและรวดเร็วยิ่งขึ้น" นายชิมิซึกล่าว