"ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์" เปิดสัมมนาพร้อมมอบนโยบายวิจัยนำ-นวัตกรรมเสริม เพิ่มศักยภาพนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน เชื่อมโยงการยกระดับการผลิตข้าวไทยให้ปลอดภัยสู่ครัวโลก
นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดงานสัมมนาเรื่อง "การมอบนโยบายวิจัยนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มศักยภาพนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน เชื่อมโยงการยกระดับการผลิตข้าวไทยให้ปลอดภัยสู่ครัวโลก" โดยมี นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว, ดร.ชิษณุชา บุดดาบุญ รองอธิบดีกรมการข้าว, นายอานนท์ นนทรีย์ รองอธิบดีกรมการข้าว และเจ้าหน้าที่กรมการข้าว ร่วมให้การต้อนรับ ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ
ขณะที่ นายประยูร เผยว่า ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญมาก โดยในปี 2566 สามารถส่งออกได้ถึง 8.77 ล้านตัน เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 8 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าการส่งออกถึง 178.235 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากผู้นำเข้าข้าวมีความต้องการนำเข้าข้าวเพื่อใช้บริโภคและเก็บเป็นสต็อกเพื่อความมั่นคงทางอาหาร แต่ถึงแม้ว่าข้าวจะสามารถสร้างมูลค่าการส่งออกให้แก่ประเทศได้มหาศาล แต่คุณภาพชีวิตของชาวนาไทยยังคงไม่สามารถหลุดพ้นจากหนี้สิน กำลังแรงงานของประเทศส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตร ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงชีพและครอบครัว โดยทำการเกษตรแบบดั้งเดิม พึ่งพาวัฏจักรธรรมชาติ ต้นทุนสูง ผลผลิตต่ำ จึงเป็นโจทย์สำคัญให้ทุกรัฐบาลจะต้องแก้ไขปัญหาภาคเกษตร
...
สำหรับนโยบายเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการทันทีของรัฐบาลปัจจุบันคือ ยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย โดยใช้แนวคิด "ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้" นำเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Agri-Tech) เช่น เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และเทคโนโลยีด้านอาหาร (Food Tech) มาใช้พัฒนาอาชีพด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และอาชีพที่เกี่ยวข้อง ฟื้นนโยบาย "ครัวไทยสู่ครัวโลก" เพื่อตอบสนองความต้องการของโลกด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตรเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกร
ดังนั้น การจะขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลสำเร็จได้เป็นรูปธรรม สามารถแก้ไขปัญหาภาคเกษตร และช่วยชาวนาให้มีรายได้เพิ่มขึ้น บุคลากรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการสร้างวิธีการทำงานสู่การปฏิบัติ ปรับรูปแบบการทำงานแบบบูรณาการ เน้นการทำงานของทุกคนทุกหน่วยงาน ต้องทำงานเป็น Team Work มุ่งมั่น ร่วมแรงร่วมใจ มีเป้าหมายร่วมกัน และช่วยกันปฏิบัติงานให้สำเร็จ
ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เน้นย้ำในเรื่องการผลิตให้ได้คุณภาพและความปลอดภัย จึงมอบหมายให้กรมการข้าวให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในการใช้พื้นที่ที่เหมาะสมในการเพาะปลูก นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในเรื่องของเมล็ดพันธุ์ จึงส่งเสริมการทำเกษตรแบบแปลงใหญ่หรือศูนย์ข้าวชุมชน และส่งเสริมให้ใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ รวมถึงการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อทดแทนการใช้แรงงานในอนาคต เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรดีขึ้นต่อไป
ทางด้าน นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า การสัมมนาในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ให้กับบุคลากรของกรมการข้าวได้นำนโยบายของรัฐบาล และนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปปรับแนวทางการปฏิบัติงานของตนเอง เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับชาวนาไทยในการวางแผนรับมือรองรับและปรับรูปแบบการผลิตข้าวให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย และความหลากหลายของสายพันธุ์ข้าวที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทุกความต้องการ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ตลอดจนสามารถนำไปแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าข้าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะทำให้ข้าวไทยเป็นที่รู้จักของนานาประเทศ ซึ่งทุกนโยบายจะเกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกคน ตลอดจนการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการเป็น Team Work เป็นครอบครัวเกษตร ร่วมมือกันขับเคลื่อนงานไปสู่เป้าหมาย.