สังคมเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้อง “รัฐบาล” พิจารณาทบทวนไอเดียมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการจะปรับแก้กฎหมายให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้นานขึ้นจาก 50 ปี เป็น 99 ปี และถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพิ่มจาก 49% เป็น 75% อันจะมีผลกระทบอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจในอนาคต
ด้วยความกังวลว่า “นโยบายนี้สุ่มเสี่ยงให้ที่ดินของประเทศ” ที่มีอยู่จำกัดหลุดมือจากคนไทยถูกถ่ายโอนการถือครองให้ต่างชาตินั้นโดย สาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย บอกว่า ปัจจุบันที่ดินเป็นเสมือนทรัพยากรสำคัญต่อปัจจัยการผลิตและสร้างการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้คน
ทั้งใต้ดินยังมีทรัพยากรแร่ธาตุ และน้ำมันมหาศาล โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีทั้งพืชพันธุ์ธัญญาหารสมุนไพร “จนกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหาร 1 ใน 5 ของโลก” อันเป็นเหตุผลให้ต่างชาติต้องการมาหาประโยชน์ถือครองในที่ดิน ประจวบกับรัฐบาลไทยก็จะแก้กฎหมายเปิดให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ 99 ปี และถือครองห้องชุด 75%
ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ เคยเกิดช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 “รัฐบาลพยายามให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปีเช่นกัน” คราวนั้นประชาชนออกมาคัดค้านกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ “ในที่สุดก็ถูกจำกัดให้เช่าที่ดินได้ 49 ปี” นับจากนั้นหลายรัฐบาลก็พยายามขยายเวลาให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปีมาตลอดแต่ไม่สำเร็จ เพราะถูกคัดค้านมาต่อเนื่อง
...
แต่สถานการณ์ปัจจุบัน “ผู้เข้ามาบริหารประเทศเคยทำธุรกิจนี้มาก่อนหน้า” จนทำให้สามารถจินตนาการเชื่อมโยงกับเงื่อนงำเกี่ยวพันผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วยิ่งกว่านั้นผู้ประกอบการหลายคนก็ออกมาระบุชัดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังเข้าจุดตีบตัน “ขายไม่ออก” โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ต่ำกว่า 3 ล้านบาทเหลือเต็มไปหมด
อีกทั้งนายกฯเดินสายเชิญชวนนักธุรกิจทั่วโลกมาลงทุน...เปิดฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวเกือบ 100 ประเทศเข้ามาโดยไม่มีแผนรองรับใดๆ “เกิดปัญหาจีนเทาเข้ามาทำผิดกลายเป็นเรื่องคาราคาซังกันอยู่” ทั้งยังมีกลุ่มคนจีนมาซื้อบ้านรวมเป็นกลุ่มและเหมาเฟสเหมาโครงการหลายหมู่บ้านจนมีการปราบปรามกันหนักในช่วงที่ผ่านมา
ตอกย้ำว่า “ที่ดินสำคัญต่อประชาชน” แม้แต่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 72 (3) ยังระบุให้รัฐต้องจัดให้มีการกระจายการถือครองที่ดินให้ประชาชนมีที่ทํากินอย่างทั่วถึง และเป็นธรรม ดังนั้นการปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาเช่าที่ดิน 99 ปี “ย่อมกระทบการถือครองที่ดินคนไทย” ด้วยตอนนี้เนื้อที่ทั้งประเทศมีอยู่ 5.3 แสน ตร.กม. หรือ 320 ล้านไร่
จำนวนนี้สามารถจัดสรรให้ประชาชนได้ 170 ล้านไร่ ขณะที่ประชากรมีอยู่ 66 ล้านคน ทำให้จัดสรรได้เฉลี่ย 2 ไร่/คน และยังไม่นับรวมกลุ่มทุนกว้านซื้อที่ดิน หรือใช้กลไกสารพัดวิธีให้ได้มาซึ่งที่ดินของชาวบ้าน
ฉะนั้นการแก้กฎหมายให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี หรือถือครองห้องชุด 75% อ้างความจำเป็นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ที่ดินที่เป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตนั้น “เป็นนโยบายเลวร้ายมิใช่วิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจ” แต่ควรส่งเสริมให้ภาคแรงงานมีฝีมือสร้างรายได้อย่างมั่นคง สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
หนำซ้ำเรื่องนี้เชื่อว่าผู้ถือครองที่ดินในประเทศไม่มีทางขายมากกว่าเลยต้องดึงทุนภายนอกมาเช่าลงทุนให้ธุรกิจตัวเองเดินไปได้ “พอคนไทยจับได้ไล่ทันก็ออกมาทำนองการศึกษา” แต่ความจริงมีมูลในการแก้กฎหมายเอื้อให้ต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ในไทยชัดเจน และไม่ใช่เป็นการจินตนาการขึ้นมาอย่างแน่นอน
“ตอนนี้ที่ดินประเทศมีอยู่จำกัดท่ามกลางการจัดสรรที่ยังไม่มีความเป็นธรรมเพียงพอ จึงขอคัดค้านกรณีให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99ปี และถือครองห้องชุด 75% ทั้งเรียกร้องให้พรรคการเมืองออกมาหยุดนโยบายนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชน มิเช่นนั้นอาจเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นร่วมกันก่อให้เกิดปัญหาต่อรัฐบาลในอนาคตได้” สาวิทย์ว่า
ขณะที่ ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) บอกว่า นโยบายแก้ไขกฎหมายให้ต่างด้าวเช่าที่ดินแบบทรัพย์อิงสิทธิ 99 ปี เป็นนโยบายขยายเวลายาวนาน 2 ช่วงอายุคน ส่งผลเสียต่อการใช้ประโยชน์ที่ดิน 2 เจเนอเรชันด้วยการให้โอกาสต่างชาติเข้ามากอบโกยทรัพยากรในประเทศแทน
...
หากเปรียบเทียบกับ “ในอาเซียนยังไม่มีประเทศใดทำกัน” อย่างกรณีสิงคโปร์ก็เปิดให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 60 ปี หรือ สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนามก็ให้เช่าที่ดิน 50 ปีเท่านั้น ดังนั้น ประเทศไทยยังไม่มีความจำเป็นต้องขยายเวลาให้ต่างชาติเช่าที่ดินยาวนานถึง 99 ปี เพราะปกติการเช่าลักษณะนี้ในเขตเศรษฐกิจพิเศษก็มีอยู่แล้ว
จึงไม่จำเป็นต้องขยายออกไปยังพื้นที่อื่น “อันจะสร้างความเหลื่อมล้ำในการถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินมากขึ้นกว่าเดิม” ด้วยปัจจุบันนี้คนรวยที่มีรายได้สูงสุด 20% ถือครองรายได้กว่า 60% ของประเทศนั้นถือครองที่ดินมากกว่า 80% ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่80% กลับถือครองที่ดินไม่ถึง 20%
เมื่อเป็นแบบนี้ “ขอคัดค้านการแก้ไขกฎหมาย” ให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ 99 ปี และขยายสิทธิการถือครองกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 49 เป็นร้อยละ 75 โดยขอให้รัฐบาลและสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทบทวนศึกษาถึงผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจเร่งด่วนก่อน
“เพราะนโยบายนี้จะทำให้ที่ดินอันมีจำนวนจำกัดหลุดมือคนไทยส่วนใหญ่ไปสู่นายทุนส่วนน้อยเกือบหมด แถมจะถูกถ่ายโอนการถือครองไปสู่ต่างชาติในที่สุด ทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ในระยะยาว และมีโอกาสตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจแก่ต่างชาติ โดยการให้ที่ดินที่เป็นสมบัติของรัฐในการค้ำประกัน” ลัดดาวัลย์ว่า
...
สุดท้ายอยากเรียกร้องให้ “รัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจทางโครงสร้าง” โดยเฉพาะการปฏิรูปที่ดินเพื่อลดการถือครองที่ดินมหาศาลของกลุ่มทุนผูกขาด ด้วยการจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน และที่ดินอัตราก้าวหน้าแบบขั้นบันได ใช้ตัวอย่างประเทศสังคมนิยมประชาธิปไตยที่แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้
โดยรัฐจะต้องเข้าแทรกแซงกลไกตลาด เพื่อควบคุมการเอาเปรียบ และกอบโกยกำไรจากทรัพยากรของรัฐหรือประชาชน ที่มีจำนวนจำกัด รวมถึงการออกนโยบายจำกัดการถือครองที่ดินไม่เกินคนละ 50ไร่
นี่เป็นข้อเรียกร้องจาก “คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย” ที่ได้จัดเวทีภาคประชาชนคัดค้านนโยบายให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี และถือครองห้องชุด 75% เพื่อให้รัฐบาลเร่งทบทวน มิเช่นนั้นความผิดพลาดจะกลายเป็นตราบาปติดตัวไปตลอดกาล...
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม