ทุกชีวิตที่เกิดมาต่างต้องการ “ความสุข” ด้วยกันทั้งนั้น แต่ความเป็นจริงคนเราย่อมได้พบทั้งสิ่งที่พึงปรารถนาและสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา...เมื่อได้พบแต่สิ่งที่พึงปรารถนาก็มีความสุข ได้พบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็มีความทุกข์กันไป...ไม่สามารถหลีกเลี่ยงทั้งสองสิ่งนี้ได้เลย

...จึงควรหันมาเสาะแสวงหาให้ได้พบแต่สิ่งที่พึงปรารถนากันให้มากที่สุด ในช่วงที่มีลมหายใจกันอยู่ก็ขอให้มีแต่ความสุขและความเจริญ

“สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน เมื่อความสุขมากความทุกข์ก็น้อยลงไป เมื่อมีความทุกข์มากความสุขก็น้อยลงไป เป็นเรื่องธรรมดา ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครเลยที่ได้พบแต่ความสุขโดยที่ไม่มีความทุกข์เลย ช่วงที่มีความสุขกันอยู่ความทุกข์จึงยังไม่เข้ามาแทรก แต่เมื่อความสุขหมดลงไปคราใดแล้วความทุกข์ก็จะมาแทนที่ทันที”

พระครูจินดาสุตานุวัตร (พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก) ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า จะทุกข์มากหรือน้อยก็แล้วแต่เหตุและผลที่จะผลักดันมาแทนที่ คนเราจึงไม่สามารถปฏิเสธทั้งสองชนิดได้เลย เพราะมันเป็น “โลกธรรมคือธรรมที่เป็นความจริงของโลก” ที่อยู่คู่กับโลกนี้ตลอดไป

...

คำถามมีว่า...หนทางใดที่จะนำพาไปสู่ความสุข? นับตั้งแต่ความสะอาดหมายถึงความสะอาดทางกาย...ทางวาจา...ทางใจ ความสะอาดทางกายใช้ชีวิตที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น...ชีวิตอื่น ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในครอบครัวหรือผู้คนที่อยู่รอบข้างรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น สร้างบรรยากาศของการอยู่ร่วมกันที่ดี

“เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ขอให้เอาความเมตตา ความปรารถนาดีเป็นที่ตั้ง อย่าได้เอาความเห็นต่างหรืออาการรังเกียจเดียดฉันท์มาเป็นที่ตั้ง การรู้จักปรองดองหันหน้าเข้ามาพูดคุยกันเป็นหนทางที่ดีที่สุดของการอยู่ร่วมกันและอยู่ใกล้กัน อย่าได้เอาการท้าทายมาเป็นสัญญาณของการอยู่ร่วมกัน”

เพราะ...การท้าทายด้วยลักษณะต่างๆ ล้วนแต่จะสร้างความเสียหาย ความเดือดร้อนติดตามมา จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ “แตกหัก” ซึ่งจะเป็นผลเสียโดยประการทั้งปวง

ตรงกันข้าม...ถ้ายังยึดเอาความแตกต่างหรือความเห็นต่างรวมถึงการกระทำที่แตกต่างกันออกไปมาเป็นที่ตั้งแล้ว ก็อย่าหวังเลยว่า “ความสมานฉันท์” จะเกิดขึ้นกับเรา สังคมของเรา

ถัดมา...“ความสว่าง” จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะนำพาให้คนเราพบแต่ความสุขได้ ชีวิตที่ตกอยู่ในมุมที่สว่างไสว ไม่มืดมิด ไม่อับเฉา ไม่เดียวดาย รู้จักคบหาสมาคมกับคนอื่นด้วยจิตใจที่เบิกบาน เปิดกว้างสำหรับการเรียนรู้และการคบหาสมาคมกับคนอื่น นำเอาสิ่งที่ดีที่ได้รับนั้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตของตนเอง

...กายก็สว่าง วาจาก็สว่าง ใจก็สว่าง สุดท้ายก็พบแต่ความสุขและความเจริญที่แท้จริง ในทางตรงกันข้ามถ้ากายก็เป็นพิษ วาจาก็เป็นพิษ ใจก็มืดบอดแล้วก็อย่าหวังเลยว่า “ความสุขและความสงบ” จะเกิดขึ้นกับเราและครอบครัวของเรา รวมถึงสังคมของเราอีกด้วย

เราเกิดมาแล้วเช่นนี้ขอให้ทางกายคือการประกอบอาชีพ...หน้าที่การงาน ขอให้ยึดเอา “ความสะอาด” เป็นที่ตั้ง ปราศจากความสกปรกใดๆทั้งสิ้น ความสว่างไสวในอาชีพและหน้าที่การงานก็จะติดตามมา ทำให้ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยกำลังของตนเอง ความสุขที่เราต้องการและความสงบร่มเย็นที่เราปรารถนาก็จะติดตามมา

พระครูจินดาสุตานุวัตร ย้ำว่า การรู้จักปล่อยวางก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะก่อให้คนเราพบความสุขมากขึ้น “หนักให้วางและว่างให้สงบ” จะเป็นทางเลือก...ทางออกให้กับชีวิตคนเราได้อย่างดี เพราะบางคนได้แบกรับภาระปัญหาต่างๆไว้มากจนเกินกำลังโดยที่คิดว่าตนเองเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหาได้

ความจริงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นมีไว้สำหรับนำไปแก้ไขมิใช่มีไว้เพื่อ “ให้แบก” หรือ “ให้กลุ้ม” ถ้าปัญหามันหนักจนเกินไปก็ขอให้ปล่อยวางเสียบ้าง...จากหนักก็จะเป็นเบา จากเบาก็จะสดชื่น

...

ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ย่อมล้วนแต่เป็นไปตาม “กรรมคือสิ่งที่ได้กระทำขึ้นมา” กรรมดีหรือเหตุดีปลายก็จะดี กรรมไม่ดีหรือเหตุไม่ดีปลายก็จะไม่ดี ไม่มีใครที่สามารถหนีเหตุและผลไปได้ การรู้จักปล่อยวางหรือการปล่อยให้ว่างเสียบ้างก็จะสามารถแก้ไขปัญหานั้นๆ ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

การใช้ชีวิตที่สะอาดปราศจากความขุ่นมัวใดๆก็จะเป็นประกายแห่งชีวิตที่จะนำพาไปสู่ความดีและความสุขอันแท้จริง ความสุขที่เกิดขึ้นกับทางกายทางวาจาและทางใจนั้นมันเป็น “สุดยอดแห่งความสุข” ในชีวิต ทำการงานอะไรก็เจริญก้าวหน้า พูดอะไรออกไปก็มีแต่คนเชื่อถือ มีแนวความคิดอะไรก็ล้วนแต่มีคนยอมรับ

“ขอให้ทุกท่านได้ใช้ชีวิตที่มีแต่ความสะอาดเป็นที่ตั้ง นั่นคือประกอบอาชีพที่สุจริต...อีกทั้งประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี ไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย...กติกาของสังคม ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็จะถือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ใสสะอาด ถ้าเป็นผู้น้อยก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ดีที่น่ารักน่าคบหาสมาคมด้วย”

ในชีวิตที่ผ่านมาเราคงไม่พบเห็นว่ามีคนใดที่สะอาดทั้งหมดเพราะคนเราย่อมมีความโลภความโกรธความหลงกันอยู่ ส่วนใครจะมีมากหรือมีน้อยเท่านั้นเอง ขอให้ยกเอาความบกพร่อง...ความผิดพลาดในอดีตนำมาแก้ไขในปัจจุบันเพื่อจะได้เกิดแต่สิ่งที่ดีในวันข้างหน้ากันเถิด ยังไม่สายตราบใดที่เรายังมีลมหายใจกันอยู่

...

ความสะอาด ความสว่าง ความสงบที่เกิดขึ้น ย่อมนำมาซึ่ง “ความสุขและความร่มเย็น” ให้กับชีวิต ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใดๆทั้งสิ้น ประกอบอาชีพหน้าที่การงานก็จะสะอาดจนเกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ก่อให้เกิดความสงบร่มเย็นในชีวิต นับว่าเป็นสุดยอดแห่งความปรารถนาของมนุษย์เรา

ที่ผ่านมา...เราเคยเศร้าหมองอยู่บ้างก็ยังไม่สายสำหรับการ “ฉุกคิด” ให้เกิดแต่สิ่งที่ดีกับชีวิต ขอให้คิดแต่สิ่งที่ดีและมีประโยชน์กันเถิด สิ่งที่ประเสริฐและสิ่งที่หวังในชีวิตก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราครอบครัวของเราและสังคมของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างจึงขอให้เริ่มต้น ที่ “ตัวเรา” ในวันนี้เป็นต้นไป

“สะอาด สว่าง สงบ” จึงจบที่การเข้าถึงธรรมะ มีธรรมะในดวงใจ...ความสุขและความร่มเย็นก็จะเกิดขึ้นจาก “การกระทำของเรา”.

คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม