หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่แล้ว ท่านนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ออกมาแถลงกับผู้สื่อข่าวในหลายๆเรื่อง หลายๆ ประเด็น เป็นข่าวใหญ่บ้างเล็กบ้างตามสื่อต่างๆ
มีอยู่ข่าวหนึ่งจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็คงไม่เล็ก เพราะแม้จะพาดหัวแถวเดียวประมาณ “20 ตัวอักษร” เท่านั้น แต่ก็โดดเด่นพอสมควรในหน้าเศรษฐกิจของ ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 1 สิงหาคม
สรุปข้อใหญ่ใจความได้ว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายในโครงการ “มวยไทยซอฟต์พาวเวอร์ ประจำปี 2567” จำนวน 275 ล้านบาท เพื่อยกระดับมวยไทยจาก “ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว” ระดับชาติไปเป็นระดับโลก แบ่งเป็นโครงการย่อยถึง 6 โครงการ
น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถลงรายละเอียดได้ลึกซึ้งมากกว่านี้ โดยเฉพาะในแต่ละโครงการย่อยว่าได้เงินไปโครงการละเท่าไหร่ จะเอาไปทำอะไรบ้าง โปรดไปค้นหาได้เลยครับ ในไทยรัฐฉบับวันที่ 1 สิงหาคมอย่างว่า
โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบ “กีฬามวยไทย” อยู่แล้ว สมัยเป็นเด็กๆอายุ 13-14 ขวบ ก็เคยหัดเตะกระสอบทรายฝึกซ้อม “มวยไทย” ตามประสาเด็กไทยที่เตะเป็นตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ว่างั้นเถอะ
ขณะเดียวกันก็ติดตามอ่านข่าวหน้ากีฬาจากหนังสือพิมพ์ยุคโน้นในร้านกาแฟข้างบ้านเป็นประจำ จนรู้จัก ยักษ์สุข ปราสาทหินพิมาย, ชูชัย พระขรรค์ชัย, สุรชัย ลูกสุรินทร์, สามารถ ศรแดง, อุสมาน ศรแดง, สมเดช ยนตรกิจ, ประยุทธ์ อุดมศักดิ์ ฯลฯ อย่างดียิ่ง
พอมาเรียนกรุงเทพฯก็โชคดีมีเพื่อนเป็นลูกของท่านรองนายสนามมวยราชดำเนินจึงมีโอกาสได้บัตรฟรีไปดู อดุลย์ ศรีโสธร, อภิเดช ศิษย์หิรัญ “จอมเตะ บางนกแขวก” ที่ริงไซด์ ชั้น 1 หลายครั้ง
...
จากนั้นเมื่อมาทำหนังสือพิมพ์ มีโอกาสไปช่วยเพื่อนฝูงข่าวกีฬาเข้าให้อีก ก็ยิ่งมีโอกาสเข้าไปดู ริงไซด์ มากขึ้น...ช่วงหลังนี้ริงไซด์จริงๆคือนั่งติดขอบเวทีเลย
น่าเสียดายที่ยุคต่อๆมาคนไทยเราหันไปดูกีฬาอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะ “ฟุตบอล” ทำให้ความนิยม “มวยไทย” ลดลง
ประกอบกับมีผู้มีอิทธิพลเข้าไปอยู่ในวงการมวยไทยมากขึ้น จนบางยุคบางสมัยถึงขนาดไล่ยิงกันในสนามมวยทำให้ผู้คนเข็ดขยาดไม่กล้าไปดูมวยอีกเลย รวมทั้งผมด้วย
แต่ก็ถือว่าโชคดี ในขณะที่คนไทยไม่ดูกลับมีนักท่องเที่ยวและชาวต่างประเทศเข้ามาดูเยอะขึ้น...ดูแล้วก็ติดใจเอาไปเผยแพร่ต่อ เอาไปดัดแปลงต่อยอดเป็นการ “ต่อสู้” สไตล์ใหม่ กลายเป็นมวยดุเดือด เป็นที่ถูกใจของแฟนมวยระดับโลกกลุ่มใหญ่
จึงมีการจ้างครูมวยไทยและนักชกไทยรุ่นเก่าๆไปฝึกสอนที่ต่างประเทศในหลายๆประเทศ เพื่อเป็นการสร้างพื้นฐานการต่อสู้แบบเตะต่อย ตีศอก ตีเข่า ครบเครื่อง ซึ่งจะต้องเริ่มด้วย “มวยไทย” เสียก่อน...
แทบไม่น่าเชื่อว่าศิลปะมวยไทยที่หายไปจากความนิยมของคนไทยรุ่นใหม่จะกลายเป็นที่นิยมในระดับโลกในช่วง 20 กว่าปีมานี้
ผมใช้ตัวเลข 20 ปีเพราะครั้งสุดท้ายที่ผมสัมภาษณ์ “ไอ้หมูแข้งทอง” ผุดผาดน้อย วรวุฒิ ที่ไปเปิดค่ายสอนมวยไทยที่ฝรั่งเศสและประสบความสำเร็จอย่างงดงามนั้น ก็น่าจะ 20 ปีมาแล้วนี่แหละ
มวยไทยค่อยๆหยั่งรากลึกในระดับโลกมาเรื่อยๆ ทั้งไปสอนที่เมืองนอกและผู้คนจากเมืองนอกมาฝึกฝนในเมืองไทยกลายเป็นลูกศิษย์ลูกหามวยไทยไปโดยปริยาย
ในแต่ละปีจะมีลูกศิษย์มวยไทยชาวต่างประเทศเดินทางมาร่วมพิธีไหว้ครูมวยที่จัดขึ้นในบ้านเรา เช่น ที่พระนครศรีอยุธยา เป็นหมื่นๆคน
เท่าที่ผมทราบ ทาง ททท. ก็ให้การส่งเสริมสนับสนุนอยู่แล้ว แต่อาจจะทำได้ไม่เต็มที่นัก เมื่อรัฐบาลมีโครงการมีวงเงินอย่างเป็นเรื่อง เป็นราวดังที่ท่านนายกฯแถลง จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี และหวังว่าจะทำให้ “มวยไทย” ของเราเป็น “ซอฟต์พาวเวอร์” อีกหนึ่งพาวเวอร์ ในการดึงรายได้เข้าประเทศได้มากขึ้นไปอีกในอนาคต
และอย่างที่นายกฯเศรษฐาท่านให้สัมภาษณ์แหละครับว่า กีฬา ประเภทนี้มีคำว่า “ไทย” อยู่ด้วย โปรโมตเท่าไร? ก็ไม่มีทางขาดทุน
ที่มีคนบางประเทศลุกขึ้นมาเคลมก็ปล่อยให้เคลมไปเถิด โลกเขารู้มาตั้งนานแล้วว่า “มวยไทย” เป็นของประเทศไทยและคนไทย
เดินหน้าต่อไป อย่าไปฟังเสียงนกเสียงกาเลยครับ ท่านรัฐมนตรีเสริมศักดิ์ ผมตั้งการ์ด “มวยไทย” เชียร์เต็มที่เลยครับ.
“ซูม”
คลิกอ่านคอลัมน์ "เหะหะพาที" เพิ่มเติม