มหากาพย์ "ปลาหมอคางดำ" เอเลี่ยนสปีชีส์ “ไบโอไทย”...เชื่อว่านักวิชาการทุกท่านในคณะทำงานที่รับผิดชอบเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพสัตว์น้ำจืด ดูแลธนาคารพันธุกรรม ในกรมประมงจะเข้มแข็งและกล้าหาญ พร้อมเผชิญหน้ากับแรงกดดันได้ในที่สุดครับ
“มูลนิธิชีววิถี” เฟซบุ๊กเพจ “BIOTHAI” ระบุอีกว่า นักวิชาการกรมประมงเปรียบเทียบดีเอ็นเอเรียบร้อยแล้วว่า ปลาที่ฟาร์มยี่สารซึ่งกรมประมงจับได้ 10 ตัว มีดีเอ็นเอใกล้เคียงกันทั้งหมดกับปลาที่ระบาดปัจจุบัน
โดยงานวิจัยที่มี ดร.อภิรดี และคณะ ดำเนินการนั้น ได้นำตัวอย่างปลาหมอคางดำฟาร์มยี่สารไปเปรียบเทียบกับปลาที่ระบาดในแหล่งต่างๆ เมื่อปี 2565 และสรุปไว้ในผลงานวิจัยว่า...
ปลาที่ระบาดในปัจจุบันมาจาก “แหล่งเดียวกัน” และ “ไม่ได้นำเข้ามาหลายครั้ง”
ปุจฉาวิสัชนา...พลิกแฟ้ม (แก้ต่าง?)...ข้อมูลอีกด้าน ฝ่ายเอกชน “ซีพีเอฟ” แจงละเอียดนำเข้ายันทำลายซาก ย้ำยังไม่เริ่มโครงการวิจัย เหตุลูกปลาขนาดกรัมเดียว มีชีวิตในไทยเพียง 16 วัน ตายเรียบ
...
บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” ยื่นหนังสือให้ข้อมูลคณะกรรมาธิการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม แจงละเอียดทุกขั้นตอน การนำเข้าลูกปลาหมอคางดำ 2,000 ตัว จากประเทศกานา ตั้งแต่ลูกปลามาถึงไทยจนถึงทำลายฝังซากและส่งซากปลาให้กรมประมง...
ผ่านการ “ตรวจสอบ” และตาม “คำแนะนำ” จากเจ้าหน้าที่กรมฯ
เปรมศักดิ์ วนัชสุนทร ผู้บริหารสูงสุดด้านการวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมาธิการฯได้เชิญบริษัทเข้าร่วมการประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหารวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำ
เพื่อการ “วิจัย” และ “พัฒนาสายพันธุ์” ในราชอาณาจักรไทย
บริษัทได้ส่งหนังสือชี้แจงว่า...ซีพีเอฟได้นำเข้าลูกปลาหมอคางดำ ในชื่อสามัญ Blackchin tilapia และชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron ขนาด 1 กรัม จำนวน 2,000 ตัว จากประเทศกานา
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2553 ใช้เวลาเดินทาง 35 ชั่วโมง เมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิได้เปิดกล่องโฟมบรรจุลูกปลาพร้อมกับเจ้าหน้าที่กรมประมงที่ประจำ ณ ด่านกักกัน พบว่า มีลูกปลาตายจำนวนมาก
เมื่อรับลูกปลามาถึงฟาร์มได้ตรวจคัดแยก พบว่า มีลูกปลามีชีวิตเหลืออยู่เพียง 600 ตัว ในสภาพที่ไม่แข็งแรง จึงได้นำลูกปลาที่ยังมีชีวิตลงในบ่อเลี้ยงซีเมนต์
เนื่องจากปลามีสุขภาพไม่แข็งแรง ลูกปลาทยอยตายต่อเนื่องทุกวัน
เนื่องจากสภาพลูกปลาที่เหลือไม่แข็งแรงและจำนวนไม่เพียงพอต่อการวิจัย จึงโทร.ปรึกษาเจ้าหน้าที่กรมประมง (นักวิชาการประมง 4 ตำแหน่งในขณะนั้น) กลุ่มความหลากหลายทางชีวภาพสัตว์น้ำจืด ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบที่มีชื่อระบุอยู่ในหนังสืออนุมัตินำเข้า โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า...
ให้เก็บตัวอย่างใส่ขวดโหลแช่ฟอร์มาลินและให้นำมาส่งที่ กรมประมง
ดังนั้น ในสัปดาห์ที่ 2 ของการรับปลาเข้ามา จึงเก็บตัวอย่างจำนวน 50 ตัว ดองฟอร์มาลินเข้มข้นเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
วันที่ 6 มกราคม 2554 (สัปดาห์ที่ 3) เนื่องจากมีปลาทยอยตายเหลือเพียง 50 ตัว บริษัทจึงตัดสินใจไม่เริ่มดำเนินโครงการและยุติการวิจัยทั้งหมดและได้ทำลายลูกปลาทั้งหมด โดยใช้คลอรีนใส่ลงน้ำในบ่อเลี้ยงซีเมนต์ เพื่อฆ่าเชื้อและทำลายลูกปลาที่เหลือ
หลังจากนั้นเก็บลูกปลาทั้งหมดแช่ฟอร์มาลินเข้มข้น 24 ชั่วโมง แล้วนำมาฝังกลบพร้อมโรยปูนขาวในวันที่ 7 มกราคม 2554 รวมระยะเวลาที่ลูกปลาชุดนี้มีชีวิตอยู่ในประเทศไทยเพียง 16 วันเท่านั้น
บริษัทได้แจ้งต่อ “กรมประมง” ถึงการตายของลูกปลา รวมถึงได้ทำลายซากลูกปลาตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่กรมประมงท่านดังกล่าว และส่งตัวอย่างลูกปลาดองทั้งตัวในฟอร์มาลินทั้งหมด 50 ตัว จำนวน 2 ขวด ขวดละ 25 ตัว ให้กรมประมง
โดยในวันที่ 6 มกราคม 2554 ได้เดินทางมาที่กรมประมงและโทร.แจ้งเจ้าหน้าที่ท่านเดิม เรื่องการส่งมอบตัวอย่างลูกปลาดองทั้ง 2 ขวด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อีกท่านหนึ่งลงมารับตัวอย่างแทน ที่ชั้น 1 อาคารจุฬาภรณ์ กรมประมง โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ขอให้ตัวแทนบริษัทกรอกแบบฟอร์มใดๆ...
...
ทำให้เข้าใจว่า...การส่งมอบสมบูรณ์แล้ว
ถัดมาอีก 7 ปี ในปี 2560 มีข้อมูลจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนว่า มีการพบปลาหมอคางดำระบาดในพื้นที่สมุทรสงคราม กรมประมงจึงได้เข้าตรวจเยี่ยมฟาร์มยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ในวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ซึ่งเจ้าหน้าที่จากกรมประมงตรวจสอบไม่พบปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยง
จึงได้ขอสุ่มในบ่อพักน้ำที่เชื่อมต่อกับแหล่งน้ำธรรมชาติแทน ซึ่งบ่อพักน้ำ R2 ของฟาร์มไม่ได้เป็นส่วนของบ่อเลี้ยง แต่เป็นส่วนที่เชื่อมกับแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อรอการกรองและฆ่าเชื้อทำความสะอาดก่อนนำน้ำเข้ามาใช้ในฟาร์ม
“บ่อพักน้ำ”...เป็นส่วนที่เชื่อมกับแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ปลาที่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติย่อมมีอยู่ในบ่อพักน้ำ เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำเดียวกันและยังไม่เข้าสู่ระบบการเลี้ยง ดังนั้นการสุ่มในบ่อพักน้ำจึงไม่แปลกที่ปลาจะเป็นชนิดเดียวกันกับปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติ
“การนำมาเปรียบเทียบว่าเป็นปลาชนิดเดียวกันหรือไม่ จึงเป็นการตั้งสมมติฐานที่ทราบคำตอบตั้งแต่ต้นว่าเป็นปลาชนิดเดียวกัน เพราะมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเดียวกัน”
...
เปรมศักดิ์ ย้ำว่า บริษัทไม่มีการวิจัยหรือเลี้ยงปลาหมอคางดำอีกเลย นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2554 ถึงแม้ว่าบริษัทมั่นใจว่าไม่ได้เป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จึงได้นำศักยภาพองค์กรขับเคลื่อน 5 โครงการสำคัญ
1.ร่วมกับกรมประมงรับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด จำนวน 2,000,000 กิโลกรัม ในราคา 15 บาท ต่อกิโลกรัม
2.สนับสนุนปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ 200,000 ตัว ตามแนวทางของกรมประมง
3.สนับสนุนกิจกรรมจับปลา...อุปกรณ์จับปลาและกำลังคนในทุกพื้นที่ที่ประสบปัญหา
4.ร่วมกับสถาบันการศึกษา 3 แห่ง พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำ
5.ร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว
ตัวแปรสำคัญหนึ่งเดียวดูเหมือนว่าจะเป็น “กรมประมง” ที่เชื่อมโยงว่าบริษัทยักษ์ใหญ่นำเข้า “ปลาหมอคางดำ”...ว่าทำลายซาก ทั้งที่ยังไม่เริ่มโครงการวิจัย โดยมีชีวิตในไทยเพียง 16 วันเท่านั้น...ก็ตายเรียบกับอีกข้อมูลที่ว่า...ปลาที่ฟาร์มยี่สาร 10 ตัว ที่กรมประมงจับได้มีดีเอ็นเอใกล้เคียงกันกับปลาที่ระบาดปัจจุบัน
...
โดยสรุปไว้ในผลงานวิจัยว่า...ปลาที่ระบาดในปัจจุบันมาจาก “แหล่งเดียวกัน” และ “ไม่ได้นำเข้ามาหลายครั้ง”
ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว มหากาพย์ “ปลาหมอคางดำ” ใคร? จะเป็น “โจรใจบาป”
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม