เสียงเพลงยังดังกระหึ่มมาจากชเวก๊กโก่ ขณะที่แสงไฟในเคเคปาร์คก็ยังสว่างไสวทุกค่ำคืน เช่นเดียวกับแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยตรงข้าม ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก ที่ยังคงเดินหน้าก่อสร้างอาคารใหญ่โต

เสมือนว่า “สงคราม” ระหว่างกองทัพพม่ากับ KNU+PDF ในศึกยึดเมืองเมียวดี อยู่ห่างแสนไกลและไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยเลย

ทั้งๆที่ในความเป็นจริงสงครามและแหล่งแสงสีอยู่ใกล้กันเพียง นิดเดียว

ภาสกร จำลองราช “สำนักข่าวชายขอบ” www.transbordernews.in.th เปิดประเด็นต่อไปอีกว่า แหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยฝั่งเมียวดีตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ทั้งชเวก๊กโก่และเคเคปาร์ค ทราบกันดีว่าอยู่ภายใต้ควบคุมดูแลของกลุ่มกองกำลัง BGF (Karen Border Guard Force-Karen)

หรือ...กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง ที่มี “ชิตู” เป็นผู้นำขณะที่ฐานสแกมเมอร์ออนไลน์แห่งใหม่ ตั้งอยู่ตรงข้าม ต.ช่องแคบ อ.พบพระ ที่มาแรงในแง่ของความ “โหดโฉด” อยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มกองกำลัง DKBA (กะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย) ที่มีนายซาย จอ หล่า หรือ “โกซาย” ผู้นำอันดับ 3 เป็นผู้ควบคุม

...

แต่จะว่าไปแล้ว...ผลของสงครามยึดเมียวดีไม่ส่งผลสั่นสะเทือนถึงแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยเลยทีเดียวก็ไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยป้ายประกาศของ BGF ที่ให้คนต่างชาติที่เข้าเมืองผิดกฎหมายออกจากรัฐกะเหรี่ยงในช่องทางที่เข้ามาภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ก็สะท้อนความถึงความสั่นไหวของชิตู

ภายหลังจากฉีกข้อตกลงกับกองกำลังของสหภาพแห่งชาติ กะเหรี่ยง KNU (Karen National Union) และกระโดดกลับไปอยู่กับสภาบริหารแห่งรัฐพม่า SAC (State Administration Council)

ขณะที่เหยื่อซึ่งเป็นชาวต่างชาติอีกจำนวนมากยังถูกคุมขังและทรมานอยู่ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย แต่ที่น่าฉงนมากที่สุดคือท่าทีอันไม่กระตือรือร้นของรัฐบาลไทยที่มีต่อแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้

โดยเฉพาะการช่วยเหลือเหยื่อนานาชาติที่ต้องการหลุดพ้นจากแดนสนธยาแห่งนี้ ยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือที่ว่า...บิ๊กๆ ในวงการราชการไทยรวมถึงนักการเมืองใหญ่จำนวนหนึ่ง ต่างได้รับผลประโยชน์จากกลุ่มจีนเทาและกะเหรี่ยงเทา รวมทั้งการรองรับนโยบายเปิดกาสิโนในประเทศไทยหรือเปล่า?

แม้ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเพชรบุรี (14 พ.ค.67) นายกรัฐมนตรีทำท่าขึงขังสั่งตัดน้ำตัดสัญญาณที่ส่งจากประเทศไทยข้ามไปยังแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้ แต่มาตรการเช่นนี้ดูจะหยุมๆหยิมๆ เมื่อเทียบปัญหาอันใหญ่โตของขบวนการค้ามนุษย์และอาชญากรระดับโลกริมรั้วบ้านชานประเทศ

...ที่ยังมี “เหยื่อ” อีกนับหมื่นคนถูก “กักขัง” และ “ทรมาน”อยู่ในนั้น

ที่ผ่านมามีข่าวสะท้อนภาพความจริงที่เล่าลือกันเป็นวงใน ไม่รู้เท็จจริงกี่มากน้อย ระบุว่า ชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งที่ออกจากแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้มาได้ เพราะต้องยอมเสียเงินเป็นค่าไถ่ตัวโดยการประสานงานแบบ “ใต้ดิน” จากฝั่งไทย ทั้งจาก “คนมีสี” ในระบบราชการไทยและ “เอ็นจีโอ”

เพื่อประสาน...ไปยังผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยงที่ควบคุมดูแลแหล่งอาชญากรรม

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจมีอีกว่า...เมื่อได้รับการช่วยเหลือข้ามฟากมาฝั่งไทยแล้ว ชาวต่างชาติเหล่านี้ไม่ได้ตกอยู่ในสถานภาพ “เหยื่อ” ที่รัฐบาลไทยจะเข้าไปปกป้องและสอบสวนหาข้อมูล แต่กลายเป็นว่าพวกเขาต้อง “รีบๆ” บินกลับไปยังประเทศต้นทางในทันที

...

พฤติกรรมของราชการไทยที่ว่านี้...กลายเป็นเงื่อนงำที่ชวนให้เกิดความสงสัยตามมามากมาย?

พลิกข้อมูลย้อนไปเมื่อเดือนมีนาคม 2567 “รัฐบาลไทย” ป่าวประกาศในเรื่องการส่งต่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในรัฐกะเหรี่ยง

ขณะที่ชาวต่างชาติมากมายที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการมาเฟีย ซึ่งถูกนำพาข้ามจากพื้นที่อำเภอแม่สอดไปกักขังไว้ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยบนฝั่งพม่า แต่ทว่า...ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของรัฐบาลไทยกลับส่องเข้าไปไม่ถึง

ที่น่าสนใจกว่านั้นคือการส่งต่อความช่วยเหลือครั้งนั้น หน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยประสานกับกลุ่มกองกำลัง BGF ปีกที่ควบคุมดูแลชเวก๊กโก่อย่างใกล้ชิด

“ชาวต่างชาติกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาวไนจีเรีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ยูกันดา ลาว หรือล่าสุดคือชาวโมร็อกโค ที่ได้รับการช่วยเหลือจำต้องรีบออกจากไทย ท่ามกลางความลุกลี้ลุกลนของหน่วยงานราชการไทย เช่นเดียวกับกรณีที่ทางการจีนส่งเครื่องบินมายังสนามบินแม่สอด....”

...

และ...รับคนของตัวเองจากฝั่งพม่ากว่า 900 คนกลับไปโดยไม่ผ่านระบบคัดกรองหรือกระบวนการใดๆ จากประเทศไทยเลย

เงื่อนงำที่ชวนสงสัย เหตุใด? “หน่วยงานราชการไทย” ถึงไม่คิดที่ จะสืบค้นหรือหาข้อมูลขบวนการ “มาเฟียระดับโลก” จากเหยื่อที่ได้รับความช่วยเหลือออกไปเลย จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงคำว่า “กลัวจุดไต้ตำตอ”

ทุกวันนี้...ท่าเรือข้ามฟากริมแม่น้ำเมยไปยังแหล่งอาชญากรรม ยังคงมีชาวต่างชาติข้ามไป...มาได้ตามสะดวก แม้จะยากขึ้น และคนในพื้นที่ ต่างก็ทราบกันดีว่าผู้แทนหน่วยราชการใดที่มีรายได้จากการหลับตาข้างหนึ่งเพื่อ “ปล่อยผ่าน” ให้เหล่า “จีนเทา” หลอกพาคนต่างชาติข้ามไป

เสียงเล่าลือในพื้นที่เหล่านี้...เป็นจริงหรือไม่ คงต้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบต่อไป

ว่ากันตามจริง...จริงๆแล้วหากรัฐบาลไทยต้องการตีปี๊บเรื่องความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรซับซ้อนมาก แค่ให้ผู้นำรัฐบาลประกาศจริงจังว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ถูกหลอกอยู่ในแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้

...

อย่าท่องคำตอบแค่ว่า “ไม่ใช่แผ่นดินไทย”

เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วชาวต่างชาติที่ถูกหลอกไปอยู่ในแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้นั้น ส่วนใหญ่ต่างนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนถูกส่งมายังอำเภอแม่สอด และส่งข้ามน้ำเมยไปยังนรกบนดิน

“รัฐบาลควรสร้างกลไกระดับชาติเชื่อมโยงกับพื้นที่เพื่อช่วยเหลือเหยื่อเหล่านี้ ที่สำคัญคือควรต้องขยายผลเอาผิดขบวนการอาชญากรรมเหล่านี้ที่มีทั้งจีนเทา กะเหรี่ยงเทา พม่าเทา และไทยเทา” ภาสกร ว่า

ที่ผ่านมา “หน่วยงานด้านความมั่นคง” มักป่าวประกาศว่า ไม่ต้องการให้ใช้พื้นที่ประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติการเคลื่อนไหวของกองกำลังฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพื่อทำลายคู่ต่อสู้

แต่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา...รัฐบาลไทยกลับยอมให้พื้นที่ประเทศไทยกลายเป็นระเบียงอาชญากรรม และฐานที่มั่นของการฟอกเงินให้กับกลุ่มมาเฟียจีนเทาและ BGF

หรือ?...เพราะทุกวันนี้ เรามีผู้บริหารประเทศที่ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ทางการเมือง โดยมีทุนทั้ง “สีเทา” และ “ทุนผูกขาด” เป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้บ้านเมืองจึงถูกกัดกร่อนและอ่อนแอไปเรื่อยๆ.

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม